วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คำสอน " ลดน้ำหนักตัวแบบพุทธะ "

ลดน้ำหนักตัวแบบพุทธะ








ในทางพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าสอนให้พิจารณาอาหารก่อนรับประทาน ต้องมีสติ ต้องรู้เท่าทันกิเลศ


โรคอ้วน กำลังคุกคามประชากรโลก จากประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกามีประชากรน้ำหนักตัวสูงกว่ามาตรฐานถึง 50% และกว่า 30% เป็นโรคอ้วน จนถึงประเทศจีนซึ่งเศรษฐกิจเจริญสูงสุดก็มีปัญหาเรื่องโรคอ้วนเพิ่มขึ้น ปัญหาโรคอ้วนระบาดทั่วโลกจนองค์การอนามัยโลกต้องประชุมเพื่อหาสาเหตุ 

โรคอ้วนเดิมเข้าใจว่าเกิดจากความไม่สมดุลของพลังงานจากการรับประทานอาหารมากกว่าพลังงานที่ร่างกายเผาผลาญ จึงเหลือสะสมเป็นไขมัน

แต่จากการศึกษาวิจัยในปัจจุบันกลับพบว่า โรคอ้วนเป็นปัญหาของพันธุกรรมซึ่งแฝงและแสดงออกเมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลง

พบพันธุกรรมกว่า 25 จุดควบคุมน้ำหนักตัว เป็นขบวนการซับซ้อนหลายขั้นตอน ตั้งแต่การสะสมและการกระจายของเซลล์ไขมัน การสันดาป การตอบสนองของการเผาผลาญพลังงานในภาวะปกติหรือเมื่อออกกำลังกาย ระบบควบคุมปริมาณอาหาร การเลือกชนิดของอาหารที่จะรับประทานและความรู้สึกอิ่ม โดยสมองเป็นศูนย์กลางควบคุม

คนอ้วนมีการปรวนแปรของระบบภายในสมองมีสารเคมีหลั่งหลายชนิดผิดปกติ ทำให้การสั่งงานของระบบทางเดินอาหาร ระบบต่อมไร้ท่อและระบบเผาผลาญผิดปกติ เช่น รู้สึกชอบรับประทานอาหารซึ่งมีพลังงานสูงและรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา

พฤติกรรมดังกล่าวจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง กระตุ้นการสร้างอินซูลินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดเป็นไกลโคเจนไปเก็สะสมในตับ กล้ามเนื้อ และบางส่วนเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในเซลล์ไขมันอย่างต่อเนื่องและพบว่าพลังงานที่สะสมในเซลล์ไขมันจะไม่สามารถนำกลับมาเผาผลาญได้ เมื่อรับประทานเกินกว่าร่างกายเผาผลาญส่วนเกินก็เปลี่ยนเป็นไขมันสะสมไปตลอด

จึงพบว่าในผู้สูงวัยซึ่งมีกิจกรรมลดลง มีไขมันบริเวณหน้าท้องเพิ่ม คือ อ้วนลงพุงขึ้นทั้งๆ ที่รับประทานอาหารในปริมาณเท่าเดิม การรักษาน้ำหนักตัวให้ลดลงมาจึงควรลดอาหารซึ่งทำให้ระดับน้ำตาลขึ้นสูงรวดเร็ว เพราะอาหารชนิดดังกล่าวจะกระตุ้นการหลั่งของอินซูลิน ปริมาณอินซูลินที่สูงจะควบคุมให้ระดับน้ำตาลลดลงต่ำอย่างรวดเร็วทำให้หิวง่ายต้องรับประทานบ่อยครั้ง 

จึงมีทฤษฎีให้รับประทานอาหารชนิดเพิ่มน้ำตาลแบบค่อยเป็นค่อยไป (low glycemic index diet) เช่น ผัก ผลไม้และเมล็ดธัญพืช เพื่อให้รู้สึกอิ่มนานๆ

แต่ในทางปฏิบัติคงจะยาก จนกว่าเราจะเข้าใจว่ารับประทานเพื่อระงับความหิว ไม่ควรรับประทานเพื่อระงับความอยาก หรือเพื่อความสนุกสนาน

การระงับกิเลศฝืนความอยากรับประทาน ที่ถูกยั่วยวนทางตา หู กลิ่น รส จากสื่อต่างๆ จึงเป็นเรื่องทำได้ยาก ในขณะที่เมืองไทยก็อุดมไปด้วยสารพัดอาหารแสนอร่อยทุกซอกซอยให้ลิ้มลอง ดังนั้นคุณจะต้องมีสติไตร่ตรองเท่านั้นจึงจะสามารถระงับความอยากรับประทานได้

ส่วนการควบคุมน้ำหนักโดยการออกกำลังกายก็เป็นเรื่องยากในคนอ้วน เพราะการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมันที่สะสมแล้วจะต้องออกกำลังแบบออกแรงมาก (moderate-intensity activity) เช่น การเต้นแอโรบิค 1 ชั่วโมง/วัน จะทำให้เหนื่อยมาก เกิดปัญหาข้อเสื่อมจากข้อต้องรับน้ำหนักตัว และการเสียดสีของผิวก็ทำให้ผิวหนังอักเสบ

คนอ้วนจึงไม่ชอบออกกำลังกาย ส่วนการออกกำลังกายแบบเบา (light intensity activity) เช่น การเดินหรือการว่ายน้ำต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง การออกกำลังกายของคนอ้วนจึงกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ ดังนั้นการออกกำลังกายของคนอ้วนจะไม่มีประโยชน์ในด้านลดน้ำหนักแต่การออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น

การออกกำลังกายเพื่อป้องกันโรคอ้วนก็เป็นเรื่องฟุ่มเฟือยเป็นธุรกิจที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ศูนย์ออกกำลังกายลดน้ำหนักผุดขึ้นทุกศูนย์การค้าและทุกตึกสูงเพื่อให้ผู้ที่ชอบตามใจปากได้เผาผลาญพลังงานส่วนเกินออก ทั้งๆ ที่ใครๆ ก็ทราบดีว่าการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง คือการรับประทานให้พอดี

ในทางพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าได้หาทางแก้ไขไว้เรียบร้อยมานานกว่า 2500 ปีแล้ว คือการสอนให้พิจารณาอาหารก่อนรับประทาน ต้องมีสติ ต้องรู้เท่าทันกิเลศ

การเจริญสติในพระพุทธศาสนาก็เพื่อให้เกิดปัญญา เกิดพุทธะภายในใจ ช่วยให้เข้าใจธรรมชาติของชีวิตอย่างถูกต้อง

การพิจารณาอาหารเป็นการเจริญสติรับรู้กับอิริยาบถในขณะรับประทานอาหาร รับประทานอาหารเพียงเพื่อให้มีพลังงานสำหรับปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน และการรับประทานอาหารหนักมื้อเพล(มื้อเที่ยง) รับประทานน้อยในมื้อเย็น ช่วยให้ไม่มีพลังงานเหลือขณะพักผ่อนในเวลากลางคืน ในขณะขบเคี้ยวก็ต้องกำหนดรู้ชนิดอาหารจึงรับประทานช้าลง ช่วยให้ระดับน้ำตาลไม่พุ่งสูงเร็ว การหลั่งอินซูลินจะช้าทำให้ไม่หิวบ่อย

การมีสติจะทำให้เกิดความยับยั้งที่จะรับประทานตามความอยาก เกิดปัญญาหยั่งทราบว่าถ้าทำตามความอยากก็จะเกิดปัญหาสุขภาพคือแก่เร็ว เจ็บป่วยตามมา

โดยสรุปการรับประทานแบบพุทธะ คือ มีสติกับการรับประทานอาหาร ดังนี้ 

- ไม่เพลิดเพลิน สนุกสนานกับการรับประทานอาหาร
- ไม่คำนึงว่าอาหารจะทำให้สวยงามหรือเกิดกำลังกายแข็งแรง 
- รับประทานเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้อย่างสะดวก สบาย และเพียงเพื่อระงับเวทนา คือความหิว
- ไม่สร้างเวทนาอื่นขึ้นมาเพิ่ม เช่น อาการแน่นอึดอัดหรือสะสมเป็นไขมัน คือเกิดโรคอ้วนตามมา

จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า การเจริญสติ ทำให้การทำงานของสมองด้านขวาเด่นชัดขึ้นซึ่งอาจมีผลทำให้ระบบการควบคุมในสมองกลับสภาพปกติ

ดังนั้นการฝึกสติโดยสวดบทพิจารณาอาหารอย่างเข้าใจความหมายก่อนรับประทานอาหาร จะมีอานิสงค์จะช่วยควบคุมน้ำหนักป้องกันโรคอ้วนได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ 


0 ความคิดเห็น:

Blogger Template by Clairvo