วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
ปัญญาที่แท้จริงทำให้ไม่หลงยึดติด....
ความติดนี่มันเป็นทุกข์...เมื่อไม่ติดมันก็ไม่เป็นทุกข์
เรามีอะไร เราใช้อะไร โดยไม่ต้องติดจะได้หรือไม่...ได้
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าได้ ใช้โดยไม่ติด รับโดยไม่ติดในสิ่งนั้น
เราทำอย่างไร....? เราก็....ใช้ปัญญาพิจารณาไว้ให้รู้ว่า...
รูป...นั้นคืออะไร ?
รูป...นั้นเป็นของจริงแท้หรือไม่ ?
เสียง...มันมีจริงมีแท้ไหม ?
หรือมันเป็นเพียงแต่ลมผสมกันเข้ากับความอยากในจิตใจ
เปล่งเสียงออกมาเป็นคำด่าคำชมคำติว่าอะไรต่างๆ...
แล้วมันคงทนถาวรหรือเปล่า...มันก็หายไป
เสียงพูดเข้าไมโครโฟนแล้วมันก็หายไป พอหยุดพูดมันก็ไม่มี
เสียง พอพูดต่อเสียงมันก็มาต่อไป...'เสียง' ไม่ได้เกิดก่อน
หรือเกิดหลังการพูด แต่มันเกิดพร้อมกันพอพูดปุ๊บ
มันก็เข้าไปในไมโครโฟนทันที
แล้วเข้าเครื่องออกไปเป็นเสียงดังฟังทั่ววัด...
เสียงนั้นมันไม่ใช่ของแท้ มันเป็นของผสมปรุงแต่งจึงเกิด
เป็นเสียงขึ้น ถ้าเราฟังว่ามันดี...ก็อย่าไปยึดถือ
ไม่ดี...ก็อย่าไปยึดถือ อย่าไปยินดีในเสียงนั้น
อย่าไปยินร้ายในเสียงนั้น ให้มีปัญญารับด้วยปัญญา...
ก็คือรับว่าเสียงนี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา แต่เสียงนี้เป็นของไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ ถ้าเราเข้าไปยึดทุกข์ไหม ? ถามตัวเองอย่างนั้น
ถ้าเรามีปัญญาก็ตอบว่า ไม่ควรจะเข้าไปยึดถือเสียงนั้น...
แต่ควรรู้จักมันไป ดูมันไป มันเคลื่อนไหวไปในทางไหน
เราก็ดูตามมันไป เหมือนเราแอบดูผู้ร้ายเข้าบ้านแอบดูไว้ว่า
มันไปทางไหน...มาทางไหน แล้วก็แอบโทรฯ ไปบอกตำรวจ
ตำรวจก็จับเอาไป เรามีสติปัญญาก็ใช้อย่างนั้น...
คอยกำหนดมันไว้ว่าอะไรเกิดขึ้น...
'ตา'...เห็นรูป เกิดความรู้สึกทางตา แล้วก็เกิดอะไรต่อไป
ตามลำดับจนเกิดความยึดมั่นในสิ่งนั้น นั่นเป็นความผิด
จะเพิ่มความทุกข์ให้แก่ตัวเราเอง เราก็ไม่ยึด...
แต่ว่าเรารู้ว่ามันคืออะไร...
มองตลอดสายสายตั้งแต่ต้น...กลาง...ปลาย
รู้หมดว่ามันคืออะไร...มันจะทำอะไรให้เกิดขึ้น ก็ปล่อยให้
มันเกิดไปตามเรื่อง ดับไปตามเรื่องของมัน
เราอย่าไปเก็บไว้ อย่าไปกักไว้....ฯ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น: