วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คำสอน " ลดน้ำหนักตัวแบบพุทธะ "

ลดน้ำหนักตัวแบบพุทธะ








ในทางพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าสอนให้พิจารณาอาหารก่อนรับประทาน ต้องมีสติ ต้องรู้เท่าทันกิเลศ


โรคอ้วน กำลังคุกคามประชากรโลก จากประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกามีประชากรน้ำหนักตัวสูงกว่ามาตรฐานถึง 50% และกว่า 30% เป็นโรคอ้วน จนถึงประเทศจีนซึ่งเศรษฐกิจเจริญสูงสุดก็มีปัญหาเรื่องโรคอ้วนเพิ่มขึ้น ปัญหาโรคอ้วนระบาดทั่วโลกจนองค์การอนามัยโลกต้องประชุมเพื่อหาสาเหตุ 

โรคอ้วนเดิมเข้าใจว่าเกิดจากความไม่สมดุลของพลังงานจากการรับประทานอาหารมากกว่าพลังงานที่ร่างกายเผาผลาญ จึงเหลือสะสมเป็นไขมัน

แต่จากการศึกษาวิจัยในปัจจุบันกลับพบว่า โรคอ้วนเป็นปัญหาของพันธุกรรมซึ่งแฝงและแสดงออกเมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลง

พบพันธุกรรมกว่า 25 จุดควบคุมน้ำหนักตัว เป็นขบวนการซับซ้อนหลายขั้นตอน ตั้งแต่การสะสมและการกระจายของเซลล์ไขมัน การสันดาป การตอบสนองของการเผาผลาญพลังงานในภาวะปกติหรือเมื่อออกกำลังกาย ระบบควบคุมปริมาณอาหาร การเลือกชนิดของอาหารที่จะรับประทานและความรู้สึกอิ่ม โดยสมองเป็นศูนย์กลางควบคุม

คนอ้วนมีการปรวนแปรของระบบภายในสมองมีสารเคมีหลั่งหลายชนิดผิดปกติ ทำให้การสั่งงานของระบบทางเดินอาหาร ระบบต่อมไร้ท่อและระบบเผาผลาญผิดปกติ เช่น รู้สึกชอบรับประทานอาหารซึ่งมีพลังงานสูงและรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา

พฤติกรรมดังกล่าวจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง กระตุ้นการสร้างอินซูลินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดเป็นไกลโคเจนไปเก็สะสมในตับ กล้ามเนื้อ และบางส่วนเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในเซลล์ไขมันอย่างต่อเนื่องและพบว่าพลังงานที่สะสมในเซลล์ไขมันจะไม่สามารถนำกลับมาเผาผลาญได้ เมื่อรับประทานเกินกว่าร่างกายเผาผลาญส่วนเกินก็เปลี่ยนเป็นไขมันสะสมไปตลอด

จึงพบว่าในผู้สูงวัยซึ่งมีกิจกรรมลดลง มีไขมันบริเวณหน้าท้องเพิ่ม คือ อ้วนลงพุงขึ้นทั้งๆ ที่รับประทานอาหารในปริมาณเท่าเดิม การรักษาน้ำหนักตัวให้ลดลงมาจึงควรลดอาหารซึ่งทำให้ระดับน้ำตาลขึ้นสูงรวดเร็ว เพราะอาหารชนิดดังกล่าวจะกระตุ้นการหลั่งของอินซูลิน ปริมาณอินซูลินที่สูงจะควบคุมให้ระดับน้ำตาลลดลงต่ำอย่างรวดเร็วทำให้หิวง่ายต้องรับประทานบ่อยครั้ง 

จึงมีทฤษฎีให้รับประทานอาหารชนิดเพิ่มน้ำตาลแบบค่อยเป็นค่อยไป (low glycemic index diet) เช่น ผัก ผลไม้และเมล็ดธัญพืช เพื่อให้รู้สึกอิ่มนานๆ

แต่ในทางปฏิบัติคงจะยาก จนกว่าเราจะเข้าใจว่ารับประทานเพื่อระงับความหิว ไม่ควรรับประทานเพื่อระงับความอยาก หรือเพื่อความสนุกสนาน

การระงับกิเลศฝืนความอยากรับประทาน ที่ถูกยั่วยวนทางตา หู กลิ่น รส จากสื่อต่างๆ จึงเป็นเรื่องทำได้ยาก ในขณะที่เมืองไทยก็อุดมไปด้วยสารพัดอาหารแสนอร่อยทุกซอกซอยให้ลิ้มลอง ดังนั้นคุณจะต้องมีสติไตร่ตรองเท่านั้นจึงจะสามารถระงับความอยากรับประทานได้

ส่วนการควบคุมน้ำหนักโดยการออกกำลังกายก็เป็นเรื่องยากในคนอ้วน เพราะการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมันที่สะสมแล้วจะต้องออกกำลังแบบออกแรงมาก (moderate-intensity activity) เช่น การเต้นแอโรบิค 1 ชั่วโมง/วัน จะทำให้เหนื่อยมาก เกิดปัญหาข้อเสื่อมจากข้อต้องรับน้ำหนักตัว และการเสียดสีของผิวก็ทำให้ผิวหนังอักเสบ

คนอ้วนจึงไม่ชอบออกกำลังกาย ส่วนการออกกำลังกายแบบเบา (light intensity activity) เช่น การเดินหรือการว่ายน้ำต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง การออกกำลังกายของคนอ้วนจึงกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ ดังนั้นการออกกำลังกายของคนอ้วนจะไม่มีประโยชน์ในด้านลดน้ำหนักแต่การออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น

การออกกำลังกายเพื่อป้องกันโรคอ้วนก็เป็นเรื่องฟุ่มเฟือยเป็นธุรกิจที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ศูนย์ออกกำลังกายลดน้ำหนักผุดขึ้นทุกศูนย์การค้าและทุกตึกสูงเพื่อให้ผู้ที่ชอบตามใจปากได้เผาผลาญพลังงานส่วนเกินออก ทั้งๆ ที่ใครๆ ก็ทราบดีว่าการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง คือการรับประทานให้พอดี

ในทางพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าได้หาทางแก้ไขไว้เรียบร้อยมานานกว่า 2500 ปีแล้ว คือการสอนให้พิจารณาอาหารก่อนรับประทาน ต้องมีสติ ต้องรู้เท่าทันกิเลศ

การเจริญสติในพระพุทธศาสนาก็เพื่อให้เกิดปัญญา เกิดพุทธะภายในใจ ช่วยให้เข้าใจธรรมชาติของชีวิตอย่างถูกต้อง

การพิจารณาอาหารเป็นการเจริญสติรับรู้กับอิริยาบถในขณะรับประทานอาหาร รับประทานอาหารเพียงเพื่อให้มีพลังงานสำหรับปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน และการรับประทานอาหารหนักมื้อเพล(มื้อเที่ยง) รับประทานน้อยในมื้อเย็น ช่วยให้ไม่มีพลังงานเหลือขณะพักผ่อนในเวลากลางคืน ในขณะขบเคี้ยวก็ต้องกำหนดรู้ชนิดอาหารจึงรับประทานช้าลง ช่วยให้ระดับน้ำตาลไม่พุ่งสูงเร็ว การหลั่งอินซูลินจะช้าทำให้ไม่หิวบ่อย

การมีสติจะทำให้เกิดความยับยั้งที่จะรับประทานตามความอยาก เกิดปัญญาหยั่งทราบว่าถ้าทำตามความอยากก็จะเกิดปัญหาสุขภาพคือแก่เร็ว เจ็บป่วยตามมา

โดยสรุปการรับประทานแบบพุทธะ คือ มีสติกับการรับประทานอาหาร ดังนี้ 

- ไม่เพลิดเพลิน สนุกสนานกับการรับประทานอาหาร
- ไม่คำนึงว่าอาหารจะทำให้สวยงามหรือเกิดกำลังกายแข็งแรง 
- รับประทานเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้อย่างสะดวก สบาย และเพียงเพื่อระงับเวทนา คือความหิว
- ไม่สร้างเวทนาอื่นขึ้นมาเพิ่ม เช่น อาการแน่นอึดอัดหรือสะสมเป็นไขมัน คือเกิดโรคอ้วนตามมา

จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า การเจริญสติ ทำให้การทำงานของสมองด้านขวาเด่นชัดขึ้นซึ่งอาจมีผลทำให้ระบบการควบคุมในสมองกลับสภาพปกติ

ดังนั้นการฝึกสติโดยสวดบทพิจารณาอาหารอย่างเข้าใจความหมายก่อนรับประทานอาหาร จะมีอานิสงค์จะช่วยควบคุมน้ำหนักป้องกันโรคอ้วนได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ 


0 ความคิดเห็น:

คำสอน " มองด้วยใจ...ใช้เมตตา....."

มองด้วยใจ...ใช้เมตตา.....




คนเราเกิดมาด้วยจิตใจที่ไม่เหมือนกัน คือพื้นฐานของจิต

ตอนถือปฏิสนธินั้นไม่เหมือนกัน จึงมีอุปนิสัยแตกต่างกันมาตั้งแต่เยาว์ เมื่อกระทบกับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันอีกก็ทำให้บุคคลแตกต่างกันไปเป็นอันมาก

การอยู่รวมกันของคนหมู่มากที่มีอุปนิสัยใจคอพื้นฐานทางใจ และการอบรมที่แตกต่างกัน จึงมีปัญหามาก ถ้าเราถือเล็กถือน้อย ไม่รู้จักให้อภัย เราก็จะมีความทุกข์มาก

บางทีก็เกี่ยวกับช่องว่างระหว่างวัย ผู้ใหญ่อยากจะให้เด็กทำ พูด และคิดอย่างตน ส่วนเด็กก็อยากจะให้ผู้ใหญ่ทำพูด คิด อย่างตนเหมือนกัน ซึ่งโดยทั่วๆ ไปแล้วเป็นไปไม่ได้

ฝ่ายผู้ใหญ่ควรให้อภัยว่าแกเป็นเด็ก ส่วนเด็กก็ควรให้อภัยว่าท่านแก่แล้ว มาเข้าใจกันเสีย คือเห็นใจซึ่งกันและกัน เมื่อเป็นดังนี้เรื่องเล็กก็จะไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่ ทุกฝ่ายอยู่กันด้วยความเห็นใจ เข้าใจ มองกันอย่างเป็นมิตร ไม่เป็นศัตรูต่อกัน 


0 ความคิดเห็น:

คำสอน " เทคนิคถอนใจจากความเหงา "


เทคนิคถอนใจจากความเหงา 



ความเหงาเป็น "ความคิด" ของใจเราเอง ที่คิดว่า "เหงา"
ใจเรา บางครั้งเป็นเพื่อนกิน คอยชวนกลุ่มความทรงจำเก่าๆ
ที่ทำให้เราทุกข์

มาปาร์ตี้กันโดยพร้อมเพรียง ยิ่งทำให้เราเหงาจน "บ้า" ได้ง่ายๆ



แต่คนที่ใจมีสิ่งยึด คือ ทุ่นทางธรรม จะไม่เหงาเลย
เพราะเค้าจะทำงาน "กำหนดสติ" อยู่ตลอดเวลา

เป็นงานที่ไม่เคยว่าง และให้ความสุขใจ
"อุ่นใจ" กับการดำเนินชีวิตอยู่ในเส้นทางบุญ




คนในสังคมปัจจุบันมักเป็น โรคเหงา
เพราะขาดเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน

เอาใจไปยึดกับคน สิ่งของ สถานภาพ
เช่น แฟน หรือความรักแบบหนุ่มสาว

ดูจากเพลง 90% ของสังคมไทย
จะเป็นตัวบิวท์ ความเหงาได้เป็นอย่างดี



การถอนใจจากความเหงาได้ดีที่สุด
คือ เติมเต็มตัวเองด้วยตัวเอง

ไม่ยึดติดอะไรนอกจากความดี มีหลักการที่ถูกต้อง

ใช้ธรรมะเป็นที่พึ่ง และทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์

พร้อมกับพยายามเป็น ผู้ให้ มากกว่าที่จะเป็น ผู้รับ

ถ้าทำได้อย่างนี้

รับรองว่า ความเหงา ลาหายกลับบ้านไปแบบไม่มาทำงานอีกเลย


ที่มา: หนังสือกล่องบุญ

0 ความคิดเห็น:

คำสอน " หยุดชั่ว มันก็ดี " โดยหลวงปู่ชา สุภัทโท

" หยุดชั่ว มันก็ดี "


คนเราบางคน บางทีก็อยากจะเอาบุญ เช่น 

ผ้ายังสกปรกอยู่ ยังไม่ได้ทำความสะอาด 
แต่อยากจะย้อมสีซะแล้ว 
ลองเอาผ้าเช็คเท้าที่ยังไม่ได้ฟอกไปย้อมสีดูซิ 
มันจะสวยไหม 



การไม่กระทำบาปนั้นมันเลิศที่สุด 
บางคนบางคราว 
โจรมันก็ให้ได้ มันก็แจกได้ 
แต่ว่าจะพยายามสอนให้มันหยุดเป็นโจรนั่นนะ มันยากที่สุด 



การจะละความชั่วไม่กระทำผิดมันยาก 
การทำบุญ โจรมันมันก็ทำได้มันเป็นปลายเหตุมัน 
การไม่กระทำบาปทั้งหลายทั้งปวงนั้นนะเป็นต้นเหตุ 

0 ความคิดเห็น:

วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คำสอน " ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน "

ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน



         “มนุษย์มีกรรมเหมือนสัตว์อื่นๆ แต่มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดเดียว ที่เปลี่ยนแปลงกรรมได้” เพราะมนุษย์มีความคิด ความรู้สึก เลือกที่จะทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะดี หรือจะชั่ว ไม่ว่ากรรมเก่าเราจะทำให้ชีวิตชาตินี้เราจะตกทุกข์ได้ยากเพียงใด เราก็สามารถอดทน ขยัน และเปลี่ยนแปลงชีวิตในทางที่ดีได้เช่นกัน   ตายจากชาติที่แล้ว เกิดมาใหม่ในชาตินี้ ก็เปรียบเหมือน การนอนหลับแล้วตื่นขึ้นมาวันใหม่ เมื่อวาน ขี้เกียจ ไม่ไปเดินเร่ขายของ จึงไม่มีรายได้ แต่วันนี้ ตื่นมาพร้อมความไม่มีเงินเหมือนเดิม แต่ตั้งมั่นว่าจะขายของ และก็ออกเดินเร่ขายของ จึงทำให้วันนี้มีเงิน   นี่คือการเปลี่ยนแปลงกรรม หรือเรียกว่า ลิขิตชีวิตตัวเองจากมานะของตนเอง โดยปราศจากการอ้อนวอนแล้วนั่งนอนรอผู้บันดาล ดังนั้นมนุษย์ไม่เหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน ที่มีวิถีชิวิตเป็นรูปแบบ ไม่สามารถทำอะไรได้ เกิดมาชาติหนึ่ง รู้จักแต่เพียง กิน ถ่าย ผสมพันธุ์ นอน เท่านั้นเอง แต่ก็มีมนุษย์หลายคน ทำตัวเหมือนสัตว์เดรัจฉาน และบ่นถึงชีวิตตัวเองว่าเกิดมาอาภัพ ทุกสิ่งไม่เพรียบพร้อมได้แต่ อ้อนวอนผู้บันดาล แล้วนั่งงอมืองอเท้ารอไปวันๆ

0 ความคิดเห็น:

คำสอน " เกิดมาทั้งดี ทำดี 3 กรรม " โดยพระพิพิธธรรมสุนทร วัดสุทัศนเทพวราราม

" เกิดมาทั้งดี ทำดี 3 กรรม "




         ทุกท่านที่เกิดมาเป็นคนนั้นจะทำอะไรถึงจะดี ก็จะขอสรุปว่า การที่เราเกิดมาเป็นคนนั้นไม่ใช่ดีเฉพาะโลกเดียว ดีมันต้องดี 2 โลก โลกที่แล้วไม่ต้องไปพูดถึง แต่ว่าโลกนี้และโลกหน้า "สุขในโลกนี้ และดีในโลกหน้า" จะทำอย่างไร เรื่องนิพพานก็ยังไม่อยากพูดถึง

"สุขในโลกนี้ และดีในโลกหน้า" ขอสรุปว่า "เกิดมาทั้งทีทำดี 3 กรรม เป็นทุนหนุนนำตายแล้วไปสวรรค์" นี่คือ "สุขในโลกนี้ และดีในโลกหน้า"

"ดี 3 กรรม" คืออะไร 1. กรรมกิจ 2. กรรมบท 3 . กรรมฐาน

"กรรมกิจ" ได้แก่ หน้าที่การงานต้องดี ต้องมีความรู้ รู้แล้วเป็น คือ ไม่ใช่รู้แล้วไม่เป็น ประเภทความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เมื่อเราทำกรรมกิจในฐานะที่เราเป็นกรรมกร คือทำหน้าที่การงาน ก็ต้องทำให้ประสบความสำเร็จ คนที่ประสบความสำเร็จในอาชีพการงานนั้น ก็มีเงินมีทองใช้จ่ายใช้สอยเป็นทุน อย่างนี้ "อยู่ก็ไม่ร้อน นอนก็ไม่ทุกข์" ลูกเมียก็สบาย ลูกผัวก็สบาย ดังนั้นเรื่องกรรมกิจนี้ก็หมายถึงว่า
" ทำแล้วมีเงินทองอย่างสมบูรณ์ " ก็มีความสุข


"กรรมบท" ข้อนี้เป็นข้อที่พัฒนาตนเองไปสู่ความเคารพนับถือ ได้แก่ มีศีล กรรมบทไม่ต้องไปพูดถึงอะไรมาก คือพูดถึง "ศีล" อย่างเดียว อย่างไรก็ตามไม้มีดอกผล คนต้องมีศีล เราจึงเห็นว่าศีลนั้นสำคัญ
1. ศีลส่งทำให้สูง 3. ศีลนำทำให้รวย
2. ศีลปรุงทำให้สวย 4. ศีลช่วยทำให้รอด
นี่ก็คือการเกิดมาเป็นคนต้องมีศีล เพราะศีลเป็นบันไดทองของชีวิต ทำให้เราได้รับความเคารพนับถือ คนไม่มีศีลนั้นใครจะไหว้ การจัดลำดับของคนนั้นเขาเรียกจัดลำดับตามศีล ไม่มีศีล เขาก็เรียก "ไอ้" เรียก "อี" แต่มีศีลเขาก็เรียก "พ่อ" เรียก "แม่" เรียก "คุณ" ดังนั้น กรรมบทเรื่อง "ศีล" เป็นเรื่องสำคัญ เป็นขั้นที่ 2


และสุดท้ายอีกกรรมคือ "กรรมฐาน" กรรมฐานคือ "สมถกรรมฐาน" ใจต้องนิ่ง ใจต้องแน่ ใจจะได้ไม่เน่า และเรื่องของวิปัสสนากรรมฐาน ต้องสว่างไม่ใช่มืดบอด เมื่อเรารู้เรื่องกรรมฐาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ไตรลักษณ์" ให้เห็นว่า 
"อนิจจัง….ไม่เที่ยง"
"ทุกขัง….คงสภาพอยู่ไม่ได้"
"อนัตตา….ไม่ใช่ของเรา ต้องแตกสลายหายไปทุกคน" 

ถ้า " 3 กรรม" นี้แล้ว "กรรมกิจ กรรมบท กรรมฐาน" ถือว่าเป็น "กรรมที่สมบูรณ์แบบ" อยู่ก็สบาย ตายก็ไปสู่สุคติ พระพุทธเจ้าสรรเสริญสำหรับบุคคลที่ทำ 3 กรรมนี้ จึงขอฝากให้ท่านทั้งหลายเอาไว้เป็นข้อคิด ข้อปฏิบัติ

0 ความคิดเห็น:

คำสอน " กรรม!! ทำให้เจ็บป่วยเรื้อรัง "

กรรม!! ทำให้เจ็บป่วยเรื้อรัง



          บางคนมีโรคประจำตัวรักษาไม่หายขาด เช่น ปวดหลัง ปวดตามข้อตามกระดูก โรคเกาต์ ทำให้เกิดอาการบวมปวดไปทั่วเนื้อตัว ที่เป็นเช่นนี้เพราะในอดีตเคยทำทารุณต่อ คนอื่น สัตว์อื่น เช่น


          มีบุญวาสนาได้เกิดเป็นเจ้าคนนายคน แต่ใช้ทาสอย่่างไม่ปรานีปราศัย ใช้สัตว์ทำงานอย่างทารุณ   เป็นเหตุให้เขาได้รับทุกขเวทนาทั้งทางกายและทางใจ จึงผูกใจเจ็บเป็นเวรกรรมต่อกัน หรือแม้ว่าเขาไม่คิดจะจองเวร จองกรรม แต่สิ่งที่เราทำลงไป ก็กลับมาเป็นผลร้ายในชาตินี้


วิธีแก้กรรม : จัดเตรียมพระเงินพระทองอย่างละ ๑ องค์ ถังสังฆทาน อาหารคาว หวาน ดอกไม้ ธูป เทียน ๑ ชุด วางไว้บนโต๊ะกลางแจ้ง จุดธูป ๓ ดอก ขอขมาต่อเจ้ากรรมนายเวรให้อโหสิกรรมต่อกัน นำธูปปักกลางแจ้ง เมื่อธูปหมด นำของไปใส่บาตร กล่าวนะโม ๓ จบ กล่าวคำอธิษฐานว่า

"ข้าพเจ้า......(บอกชื่อ)...............ได้ทำบุญใส่บาตรด้วยพระเงินพระทอง พร้อมของบริวารเหล่านี้ ขออุทิศส่วนกุศลผลบุญนี้ให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยทำเวรกรรมต่อกัน ขอให้อโหสิกรรม ณ บัดนี้ ด้วยเดชะความดี ขอให้ข้าพเจ้าจงมีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เบียดเบียนด้วยเทอญ"

แล้วกรวดน้ำแผ่เมตตาให้แก่ตนเองและสัพสัตว์ต่อไป

บทแผ่เมตตาให้ตนเอง
อะหัง สุขิโต โหมิ ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข 
นิททุกโข โหมิ ปราศจากความทุกข์ 
อะเวรโร โหมิ ปราศจากเวร 
อัพฺยาปัชโฌ โหมิ ปราศจากอุปสรรคอันตราย 
อะนีโฆ โหมิ ปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ 
สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิฯ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิดฯ





ที่มา : หนังสือ "แก้เคราะห์กรรม ทำได้เอง" 

0 ความคิดเห็น:

วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คำสอน "ความสุขที่เราสร้างได้เอง"

"ความสุขที่เราสร้างได้เอง"




           คนเรากว่าจะเกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์ได้ก็ยากแสนยาก ดังคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนว่า “การเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากยิ่ง เทียบว่ายากกว่าเต่าในมหาสมุทร ที่จะโผล่ขึ้นมาให้ตรงกับห่วงอันเดียวที่ลอยเคว้งคว้างในมหาสมุทรได้”

          ชาตินี้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีกครั้งก็ถือว่าเป็นบุคคลที่มีบุญมากแล้ว จงภูมิใจเถิด!


         ดังนั้น เมื่อชีวิตที่อยู่ในโลกของความสับสนวุ่นวายแล้วก็ต้องมีความสุขให้ได้ แม้ว่าความสุขนั้นจะหาได้ยากเพียงใดก็ตาม 

         ทุกคนก็สามารถสร้างความสุขด้วยวิธีการง่ายๆ ได้เหมือนกันนะ เช่น พยายามทำสิ่งที่ต้องการให้สำเร็จ โดยเริ่มต้นจากเรื่องเล็กๆน้อยๆ, ออกกำลังกาย, คิดช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อมีโอกาส, ทำบุญใส่บาตร, สวดมนต์ไหว้พระ, ทำสมาธิ เป็นต้น แค่เพียงเท่านี้ความสุขก็เกิดขึ้นแล้ว


         อย่ามัวแต่หวังพึ่งหรือรอรับความสุขจากผู้อื่น จงคิดอยู่เสมอว่า ตัวเราเองจะต้องสร้างความสุขได้ด้วยร่างกายและจิตใจที่แข็งแกร่งด้วยตัวเราเอง แล้วทุกๆนาที ทุกๆชั่วโมงของโยม จะมีแต่ความสุขอยู่ในใจเสมอ

“ความสุขไม่มีขาย อยากได้ต้องสร้างเอง” 

0 ความคิดเห็น:

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คำสอน " ที่ใดมีรัก-ที่นั่นมีทุกข์ " โดยพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก




ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์

          โรงครัวที่ไม่มีน้ำตาล   เกลือ   ก็ไม่ใช่โรงครัว   การปรุงอาหารให้อร่อยก็ต้องใช้น้ำตาล   ใช้เกลือ

ถ้าขาดน้ำตาล   ขาดเกลือรสชาติของอาหารนั้นก็ไม่อร่อย

          ดังนั้นน้ำตาล   และ   เกลือ   จึงเป็นเครื่องปรุงอาหารที่สำคัญ   แต่ในเวลาเดียวกันโทษของ

น้ำตาลและเกลือก็มีมาก   โรคเจ็บไข้ป่วยของคนเราหลายโรคมีสาเหตุมาจากการรับประทานน้ำตาลและ

เกลือมากไป

          บางคนก็บอกว่าน้ำตาลมีแต่โทษไม่มีประโยชน์เลย   แต่ร่างกายก็ต้องการน้ำตาลในปริมาณที่
เหมาะสม

          ดังนั้นจงจำไว้ว่า     ทุกข์เพราะความรักก็มีมากจนบางคร้งก็ดูเหมือน ความรักคือ ความทุกข์

ทุกข์มากๆ ทำใจไม่ได้จนถึงขั้นฆ่าตัวตายทำลายตัวเองก็มีมาทุกยุคทุกสมัย


       

0 ความคิดเห็น:

คำสอน " รักที่ไม่มีทุกข์ " โดยพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก



รัก-ที่-ไม่-มี-ทุกข์

          ความรักที่มีแต่สุขไม่มีทุกข์เจือปนนั้นเป็นไปได้   ในทางพระพุทธศาสนาความรักอันบริสุทธิ์ที่จะนำชีวิตไปสู่ความสุขแท้   คือความรักที่จ้องอาศัยคุณธรรมสำคัญ 4 ประการ

1. เมตตา   คือ   ความรัก   ความปรารถนาดีให้เขามีความสุข

2. กรุณา   คือ   ความสงสาร   เมื่อเห็นเขามีความทุกข์   ก็คิดหาทางช่วยเหลือปลดเปลื้องทุกข์ของเขา

3. มุทิตา   คือ   ความยินดีเมื่อเขาได้ดี   เห็นเขาอยู่ดีมีสุขเจริญก้าวหน้า   ก็พลอยแช่มชื่นเบิกบานใจ   ไม่คิดอิจฉาริษยาและพร้อมที่จะส่งเสริม  สนับสนุน

4. อุเบกขา   คือ  ความวางใจเป็นกลางเป็นปกติ   ไม่ยินดี   ยินร้าย   เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น   เป็นไปตามสมควรแก่เหตุปัจจัยตามกฎแห่งกรรม

0 ความคิดเห็น:

คำสอน " การไม่มีคู่เป็นลาภอันประเสริฐ " โดยพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก



" การไม่มีภรรยา เป็นลาภอันประเสริฐ หรือ การไม่มีสามี เป็นลาภอันประเสริฐ " 

ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เช่นนี้    เพื่อเตือนใจว่า " ชีวิตคู่มีทุกข์มีสุขคละเคล้ากันไป   แต่เกือบทุกคู่ทุกข์จะมากกว่าสุข   ตามวัย   ตามสัญชาตญาณของสัตว์โลกมักจะแสวงหาชีวิตคู่แล้วก็เกิดความรัก   ความผูกพันตามมา "  

ความรู้สึกว่าความรักเป็นสิ่งที่สวยงามเป็นสุขอย่างที่สุดนั้น   เป็นความรู้สึกของตัณหาเพื่อที่จะได้รับความสุขนั้น   เหมือนต้องติดหนี้สินมากมาย    เพราะเมื่อได้ดำรงชีวิตคู่ไปแล้วหลายคนกลับรู้สึกว่าตนเองได้คำนวณผิดพลาด   ดอกเบี้ยแพง   ตั้งใจแก้ตัวพยายามอย่างไรก็ติดลบตลอด   มีทุกข์มากมีสุขน้อย   หลายคู่ก็ผิดหวังเหมือนมีหนี้สิน   ชดใช้ไม่รู้จักหมดจักสิ้น

0 ความคิดเห็น:

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คำสอน " อยากขึ้นสวรรค์ไหมโยม " โดยพระอาจารย์เผด็จ ติสโร

อยากขึ้นสวรรค์ไหมโยม

บุคคลประกอบด้วยธรรม ๕ อย่าง ย่อมขึ้นสวรรค์ 


เหมือนถูกนำตัวไปวางไว้ ธรรม ๕ อย่าง คือ

๑. ผู้เว้นจากการฆ่าสัตว์

๒. ผู้เว้นจากการลักทรัพย์

๓. ผู้เว้นจากการประพฤติผิดในกาม

๔. ผู้เว้นจากการพูดปด

๕. ผู้เว้นจากการตั้งอยู่ในความประมาท 

ด้วยการดื่มนำเมาคือสุราเมรัย


ที่มา : ธรรมะเดลิเวอร์รี่

0 ความคิดเห็น:

วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คำสอน " มิตร 3 " โดยพระพยอม กัลยาโณ


มิตร ๑ 
เมื่อมั่งมี..............มากมาย..........มิตรหมายมอง 
เมื่อหม่นหมอง......มิตรมอง........เหมือนหมูหมา 
เมื่อไม่มี..............มิตรหมด.........ไม่มองมา 
เมื่อมอดม้วย........แม้หมูหมา........ไม่มามอง 


มิตร ๒ 
อันเพื่อนดี............มีหนึ่ง..............ถึงจะน้อย 
ดีกว่าร้อย............เพื่อนคิด...........ริษยา 
เหมือนเกลือดี.......มีนิดหน่อย......น้อยราคา 
ยังมีค่า................กว่าน้ำเค็ม.........เต็มทะเล 

มิตร ๓ 
เพื่อนเพราะกิน......เหล้าด้วยกัน....นั้นมีมาก 
เพื่อนแต่ปาก........สักแต่ว่า...........ก็เกลือนหาย 
ส่วนเพื่อนใด........ในเมื่อกิจ..........เกิดมากมาย 
ช่วยจนตาย..........นั่นแหละเพื่อน...อย่าเฟือนเอย 

0 ความคิดเห็น:

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คำสอน " ผู้มีสติ " โดยหลวงปู่ชา สุภัทโท


ผู้มีสติ








ผู้ใดมี "สติ" ... อยู่ทุกเวลา 

ผู้นั้นก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า...อยู่ตลอดเวลา




เพราะว่า เมื่อตามองเห็นรูป...ก็เป็นธรรมะ 
หูได้ยินเสียง...ก็เป็นธรรมะ 
จมูกได้กลิ่น...ก็เป็นธรรมะ 
ลิ้นได้รส...ก็เป็นธรรมะ 
ธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ นึกขึ้นได้เมื่อใด...เป็นธรรมะเมื่อนั้น 

ฉะนั้น "ผู้มีสติ" 
จึงได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา...ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน 
มันมีอยู่ทุกเวลาเพราะอะไร ? เพราะเรามีความรู้อยู่ 


ในเวลานี้ เราจึงเรียนอยู่กลางธรรมะ 
จะเดินไปข้างหน้า...ก็ถูกธรรมะ 
จะถอยไปข้างหลัง...ก็ถูกธรรมะ




ท่านจึงให้มี "สติ"
ถ้ามีสติแล้ว มันจะเห็นกำลังใจของตน เห็นจิตของตน 
ความรู้สึกนึกคิดของตัวเองเป็นอย่างไร ก็ต้องรู้ 
รู้ถึงที่แล้ว ก็รู้แจ้งแทงตลอด

...เมื่อมันรอบรู้อยู่เช่นนี้ 
การประพฤติปฏิบัติ มันก็ถูกต้องดีงามเท่านั้นแหละ 


0 ความคิดเห็น:

วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คำสอน " ธรรมะจากนาฬิกาปลุก " โดยพระอาจารย์ว.วชิรเมธี


ธรรมะจากนาฬิกาปลุก
          

         ทุกครั้งที่มองนาฬิกานอกจากจะเห็นตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกาแล้ว   ควรจะมองให้เห็นปริศนาธรรมทั้ง  2  ประเด็นด้วยกัน

          1. เวลาเป็นทรัพยากรที่ไม่อาจนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกครั้งหนึ่ง   ต้องใช้เวลาทุกวินาทีให้เกิดประโยชน์สูงสุด

          2. ให้บอกตัวเองว่า   เรามีเวลาจำกัด   เพราะฉะนั้นเราควรทำตารางเวลาของเราใให้ชัดเจน   เราจะใช้ชีวิตอย่างไร   ถ้าเราไม่ทำตารางเวลาให้ชัดเจนเราจะใช้ชีวิตแบบอยู่ไปวันต่อวัน   ทำให้ชีวิตนั้นสูญเปล่าไป ในขณะที่เวลาก็ไม่มีโอกาสหวนคืนกลับมา

0 ความคิดเห็น:

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คำสอน " มนุษย์ต้องมีความรัก " โดยพระอาจารย์ว.วชิเมธี

มนุษย์ต้องมีความรัก


            ทำไมมนุษย์ถึงต้องมีความรัก?      คำตอบก็คือ...

1. มนุษย์นั้นยังเป็นปุถุชนที่มีสัญชาตญาณพื้นฐานคือ ความรัก ความโลภ ความโกรธ และความหลง

2. มนุษย์นั้นยังต้องการที่พึ่งพิงหรือต้องการสมณะที่พึ่ง

3. มนุษย์นั้นต้องการความมั่นคง   ในจิตใจ   ในชีวิต

4. มนุษย์มีรากร่วมทางวัฒนธรรมบางอย่างร่วมกัน   เช่น  สายเลือดเดียวกัน   ชาติเดียวกัน   ศาสนาเดียวกัน   ภาษาเดียวกัน

5. มนุษย์นั้นยังคงรู้สึกพร่องอยู่เสมอ

            ด้วยปัจจัยทั้ง 5 นี่แหละที่ทำให้มนุษย์ยังคงเวียนไหว้ในวัฎจักรของความรักอย่างไม่จบไม่สิ้น   เราจะสามารถหลุดพ้นออกจากวัฎจักรของความรักก็ต่อเมื่อเราบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์

            รักแท้คือเมตตา
                                    เมตตาที่สากล
                                                            จะทำให้เรารักคนได้ทั้งโลก

0 ความคิดเห็น:

คำสอน " ศัลยกรรมใจ " โดยพระอาจารย์ว.วชิรเมธี

ศัลยกรรมใจ



         เดี๋ยวนี้คนไทยจำนวนมากนิยมไปทำศัลยกรรมตกแต่งหน้าตาตลอดจนรูปร่างสังขารให้ดูสวยสง่างาม

         ศัลยกรรมนั้นเป็นสิ่งที่มำได้   แต่ไม่ควรจะมากเกินไปจนกลายเป็นการเสพติด   หรืออีกประการหนึ่งก็คือ   ในเมื่อคุณพร้อมหรือเลือกที่จะศัลยกรรมกายก็ไม่ควรจะทิ้งไว้แค่นั้น   ควรหันกลับมาศัลยกรรมใจด้วย

         กิเลสชนิดไหนที่ทำให้คุณขาดจริยธรรม   ก็ควรจะศัลยกรรมกิเลสชนิดนั้นออกไป   เช่น  

                     ความโลภ      ควรศัลยกรรมด้วย     การให้
                     ความโกรธ     ควรศัลยกรรมด้วย     เมตตา
                     ความหลง      ควรศัลยกรรมด้วย     ปัญญา

         ศัลยกรรมนั้นเราสามารถทำได้ทั้งข้างนอกและข้างใน   และถ้าทำศัยกรรมทั้งข้างนอกทั้งข้างใน   คุณก็จะสวยตลอดไป   เพราะรู้จักศัลยกรรมใจด้วยธรรม

0 ความคิดเห็น:

คำสอน " เคยทำผิดร้ายแรง " โดยพระอาจารย์ว.วชิรเมธี

เคยทำผิดร้ายแรง





         ในฐานะที่เป็นปุถุชน   เราทุกคนมีโอกาสทำผิดกันได้   แต่สำหรับคนที่เป็นปุถุชนและมีปัญญา   เขาจะถือหลักว่า
                                           ความผิดนั้นมีไว้เพื่อเรียนรู้   ไม่ใช่มีไว้ให้ซ้ำเติมตัวเอง
          และนอกจากนั้นก็อยากจะให้กำลังใจว่า   เมื่อเราผิดไปแล้วไม่ได้หมายความว่าเราจะลุกขึ้นมาเป็นคนดีไม่ได้   ขอให้จงดูดั่งองคุลีมาลซึ่งครั้งหนึ่งท่านเคยเป็นมหาโจร   แต่วันหนึ่งพอท่านกลับใจท่านก็กลายเป็นพระอรหันต์
            เพราะฉะนั้นก็อยากจะย้ำเอาไว้ตรงนี้ว่า
                                                     “ ความผิดนั้นมีไว้แก้ไช   ไม่ได้มีไว้แก้ตัว
           จงเรียนรู้จากองคุลีมาลว่า  
องคุลีมาลยังกลับใจ   แล้วคุณเป็นใครไม่กลับตัว

0 ความคิดเห็น:

คำสอน " หักอกคนอื่น " โดยพระอาจารย์ว.วชิรเมธี

หักอกคนอื่น






          การหักอกนั้นจะถือว่าบาปหรือไม่ก็ต้องมาพิจารณาตามเจตนาเป็นสำคัญ   ถ้าใครคนใดคนหนึ่งผูกสมัครรักใคร่กับใครคนหนึ่ง   แล้ววางเจตนารมณ์เอาไว้แต่ต้นว่า  เมื่อสมปรารถนาก็จะผละจากเขาไป   ใครที่วางเจตนาไม่ดีแต่ต้นเช่นนี้   พอหักอกเขาก็เท่ากับว่าเป็น   บาปเต็มประตู


          แต่ทีนี้หากลองคบกันไป   รักกันไป   เรียนรู้กันไปแล้วสักพักใหญ่ แล้วได้บทสรุปว่า   ถึงอย่างไรเราก็ไปกันไม่ได้จริงๆ จึงต้องเลิกร้างห่างเหินกันไป   ในกรณีนี้ถือว่า   ไม่บาป  


          เพราะฉะนั้นต้องใช้วิจารณญาณอย่างถ้วนถี่

          อยากจะย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า   ก่อนเลือกคู่ครอง   ก่อนเลือกคู่รัก   จงลืมตาทั้งสองข้าง
                                                    แต่เมื่อเลือกแล้ว   ก็จงปิดตาเสียข้างหนึ่ง

                                                   

0 ความคิดเห็น:

คำสอน " กำลังใจ " โดยพระอาจารย์ว.วชิรเมธี

กำลังใจ
        

          ในยามวิกฤติสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ....กำลังใจ.... เราอาจจะสูญเสียบ้าน   สูญเสียรถ   สูญเสียทรัพย์สินเยอะแยะมากมาย   แต่ถ้าเรายังคงมีกำลังใจที่ดี   เราก็สามารถแสวงหาสิ่งเหล่านี้ได้ทั้งหมด   แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราสูญเสียกำลังใจ   ถึงจะมีทรัพย์สินสมบัติมากมายเราไม่มีแรงที่จะลุกขึ้นสู้

1 ความคิดเห็น:

วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คำสอน " วิธีง่ายๆ ในการลืมความหลัง " โดยพระอาจารย์ว.วชิรเมธี



วิธีง่ายๆ ในการลืมความหลัง.....




          ความหลังก็คงไม่ต่างอะไรกับทากตัวน้อยๆ หมายความว่า ทากมันจะเกาะและกัดใครคนใดคนหนึ่งอย่างยาวนานก็ต่อเมื่อคนๆ นั้น ยัง “ไม่รู้สึกตัว” ต่อเมื่อเรารู้สึกตัวนั่นแหละ วันเวลาของทากตัวนั้นก็ย่อมจะหมดลง

          คนที่ยังปล่อยให้อดีตอันปวดปร่ามาทำร้ายชีวิตในปัจจุบันขณะได้ ก็คือคนที่ “ยังไม่รู้สึกตัว” เท่านั้น สำหรับคนที่ “รู้สึกตัว” อยู่เสมอ ไม่มีทางหรือเป็นไปไม่ได้เลยที่คมมีดแห่งอดีตจะกรีดใจให้เจ็บปวด

วันนี้มีวิธีง่ายๆ มาแนะนำ



(๑) หาอะไรทำอยู่เสมอ
         เป็นวิธีแยกจิตออกมาจากความหลัง เมื่อพรากจิตจากความหลังมาอยู่กับการทำงานจนชิน จิตก็ไม่ฟุ้ง ไม่ย้อนกลับไปในอดีตอีก เมื่อจิตจดจ่ออยู่กับงานที่ทำอยู่ตรงหน้า จิตก็ผ่องใส หากทำได้บ่อยๆ ความเข้มข้นของบาปในอดีตก็จะเจือจางลงไปโดยอัตโนมัติ

(๒) ฝึกสมถสมาธิ 
           ฝึกสมาธิด้วยการบริกรรมหรือการเพ่งอะไรก็ได้ที่ทำให้จิตใจมีที่ พัก ที่เกาะ ที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยว วิธีที่นิยมใช้ก็คือ การบริกรรม “พุท” เวลาหายใจเข้า และ “โธ” เวลาหายใจออก หรือจะใช้คำอื่นใดก็ได้ที่เมื่อบริกรรมในใจแล้ว ทำให้จิตหายฟุ้งซ่าน แน่วแน่ เป็นหนึ่ง ผ่องใส เมื่อฝึกจนจิตนิ่ง และผ่องแล้ว จิตจะมีความสุขอยู่กับ ปีติสุข มีความแช่มชื่นเบิกบาน ผ่อนคลาย เมื่อจิตได้กำซาบความสุชนิดใหม่ที่เกิดจาก สมาธิภาวนาอยู่เสมอแล้ว ความผิดบาปในใจก็ไม่ลอยฟุ้งซ่านมากัดกร่อนปัจจุบันได้ อย่างเดิมอีก

(๓) ฝึกวิปัสสนาสมาธิ
          หาโอกาสพาตัวเองไป “เข้าเงียบ” กับครูบาอาจารย์ทางด้านวิปัสสนาอย่าง เข้มข้น เมื่อฝึก “ดูใจ” ตัวเองจนรู้เท่าทันอาการทางจิต เช่น คิดก็รู้ ฟุ้งซ่านก็รู้ กลัวก็รู้ มัวหมองก็รู้ ผ่องใสก็รู้ ฯลฯ เมื่อเราสามารถอ่านความเป็นไปของจิตได้ อย่างละเอียดลออลึกซึ้งถึงขั้นพอจิตกระเพื่อม ใจก็ตัดฉับ รู้เท่าทัน จนเหลือแต่ ตัว “สติ” ล้วนๆ อยู่ตลอดเวลา หากทำได้ดังว่าเช่นนี้ คุณก็เหมือนคนที่ “ตื่นแล้ว” จากความหลังอันทุกข์ตรมขมไหม้โดยสิ้นเชิง ในสังคมไทยทุกวันนี้ มีคน ที่จมอยู่ในอดีตจำนวนมาก ที่ได้พรากตัวเองออกจากอดีตอันแสนเจ็บปวดด้วยการ ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน แล้วต่างก็ค้นพบว่า คนเราสามารถเป็นอิสระได้ไม่ใช่แค่ จากอดีตที่ไม่อยากจำเท่านั้น ทว่าเรายังสามารถเป็นอิสระได้แม้จากความ ทุกข์ทุกชนิดที่คอยบั่นทอนชีวิตให้ขาดชีวาได้อีกด้วย ทั้งนี้ โดยวิธีง่ายๆ ที่ เรียกว่า การดูใจตัวเอง (วิปัสสนาสมาธิ) ให้เป็นเท่านั้น





ที่มา :สถาบันวิมุตตาลัย

0 ความคิดเห็น:

Blogger Template by Clairvo