วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555
เชิญตะวัน
"เชิญตะวัน" เชิญสิ่งดีๆ มาสู่ชีวิต เชิญพรที่สัมฤทธิ์มาสร้างชีวา พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการศึกษา มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพในการเป็นนักศึกษา กล่าวคือ สามารถฝึก หัด พัฒนา ให้มีพัฒนาการที่ดียิ่งๆ ขึ้นไปจากปุถุชนจนเป็นกัลยาณชน และอารยชนในที่สุด ผู้ที่ศึกษาสำเร็จการศึกษาตามแนวทางของพุทธศาสนา นับว่าเป็น “พุทธะ” คือ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
DOWNLOAD : http://www.ilovelibrary.com/book_detail_nologin.php?id=06600006932&group=BK-068
บุตรธิดา คือ กระจกเงาของพ่อแม่
หากคุณเอาดอกไม้ใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นคนจิตใจงดงาม
หากคุณเอาความรักใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นคนเปี่ยมเมตตา
หากคุณเอาเหตุผลใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์
หากคุณเอาหนังสือใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นปัญญาชน
หากคุณเอาธรรมะใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นคนดี
หากคุณเอานิสัยแห่งการให้ใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นคนมีจิตสำนึกสาธารณะ
หากคุณเอาสมบัติผู้ดีใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นสุภาพบุรุษ/สุภาพสตรี
หากคุณเอาดนตรีใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นคนอารมณ์ดี
หากคุณเอาธรรมชาติใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นคนรักความสงบ
หากคุณเอาความก้าวร้าวใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นอันธพาล
หากคุณเอาความตามใจใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นลูกบังเกิดเกล้าจอมอหังการ
หากคุณเอาเงินใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นคนมักง่าย
หากคุณเอาปืนใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นฆาตกร
หากคุณเอาวัตถุแพงๆ ใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นคนยึดติดวัตถุนิยม
หากคุณเอาความรักสบายใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นคนหยิบโหย่งอ่อนแอ
หากคุณเอาความไม่รับผิดชอบใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นคนสูญเสียสามัญสำนึก
หากคุณเอาความริษยาใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นคนที่ขาดความสงบสุขในชีวิต
หากคุณเอาแต่วิชาชีพใส่มือให้เด็ก
เขาจะกลายเป็นคนสมองโตแต่ใจตีบ
ในฐานะที่เป็นพ่อและแม่
วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555
คำสอน " วิธีทำให้นายรักและไว้วางใจในหน้าที่ " โดยพระราชสุทธิญาณมงคล วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี
เขียนโดย LooKNuM ที่ 22:29วิธีทำให้นายรักและไว้วางใจในหน้าที่
๑.ถ้าผู้เป็นนายนั้นสั่งหรือมอบหมายให้ทำงานใดๆแล้ว ถ้ารับปากก็จงทำงานนั้นจนสำเร็จ ไม่ควรให้เขาเตือนเป็นครั้งที่ ๒
๒. รักษาหรือทำสถานที่ทำงานนั้นให้สะอาดอยู่เสมอ
๓. วัตถุหรือสิ่งใดๆวางเกะกะพึงเก็บเสียเองให้เรียบร้อย อย่ารอให้เขาเตือน
๔. พึงทำงานให้คุ้มค่าแรง และให้เหลือกว่าค่าแรงเสมอ
๕. สิ่งใดที่ไม่ถึงกับทำให้เสียก็พึงระมัดระวังให้มาก อย่าพึงให้เสีย
๗. ถ้าเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินทอง มีบิลแสดงรายการได้ยิ่งดี
๘. ถ้าเกี่ยวกับเงินทอง จะต้องซื่อตรงเสมอ แม้จำนวนเล็กน้อยก็ตาม
๙. อย่าทำงานใดในการริเริ่มใหม่ และสำคัญโดยยังไม่ได้ปรึกษาก่อน
๑๐. งานที่ทำสำเร็จผ่านมาพึงอย่าเบื่อหน่ายในการรายงานให้นายทราบ
๑๑. หาความรู้ในงานที่สูงหรือยากลำบากยิ่งๆขึ้นไป เพื่อเลื่อนหน้าที่ตำแหน่งงานของตนให้สูงขึ้น
๑๒. อย่าสร้างความขัดแย้งหรือศัตรูกับผู้ร่วมงานด้วยกัน
๑๓. อย่าละทิ้งหน้าที่หรืองานนั้นในขณะรับผิดชอบ ไปทำงานที่เป็นกิจส่วนตัว
๑๔. อย่านินทากล่าวร้ายนายเก่าให้นายใหม่ฟังเด็ดขาด
๑๕. พึงยึดคติที่ว่า "อยู่ให้เขาไว้วางใจ ไปให้เขาเสียดาย คิดถึง"
๑๖. ความบกพร่องในการทำงานหรือหน้าที่ที่ผ่านมา พึงจดจำโน้ตไว้เพื่อแก้ไขต่อไป
๑๗. อย่าคบคนเสเพลและดื่มของมึนเมาขณะปฏิบัติหน้าที่
๑๘. จะมอบหมายให้ใครไปทำงานใดๆ พึงดูความสมัครใจ ความเต็มใจ ความสามารถของคนที่มอบหมายนั้นให้มากๆอย่างลึกซึ้งก่อน
คำสอน " ยิ่งมีความสงบ ยิ่งเกิดความสุข " โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
เขียนโดย LooKNuM ที่ 22:22ยิ่งมีความสงบ ยิ่งเกิดความสุข
ที่จริง จิตใจเวลามีความปรารถนาต้องการกับ
เวลาไม่มีความปรารถนาต้องการนั้นแตกต่างกันมาก
จิตใจยามมีความโลภหรือความปรารถนาต้องการนั้น
ไม่ได้มีความสุข มีแต่ความร้อนความตื่นเต้น
กระวนกระวายขวนขวายเพื่อให้ได้สมปรารถนา
จิตใจยามไม่มีความปรารถนาต้องการนั้น
มีความสุขอย่างยิ่ง เห็นจะต้องเปรียบง่ายๆ คือ
ในยามหลับกับในยามตื่น
ยามหลับไม่มีความปรารถนาต้องการ
ยามตื่นมีความปรารถนาต้องการทุกคนเหมือนกัน ไม่มียกเว้น
ยามไหนเป็นยามสบายที่สุด ทุกคนตอบได้และคำตอบของทุกคนเหมือนกัน
คนที่หลับแล้ว สงบแล้วจากความปรารถนาต้องการ
ไม่ว่าจะหลับบนฟูกอันอ่อนนุ่มในคฤหาสน์ใหญ่โตมโหฬาร
หรูหราเพียงใด หรือจะหลับอยู่บนดินทรายแข็งระคายเพียงไหน
ย่อมเป็นสุข เพราะจิตใจพ้นจากอำนาจของความปรารถนา
ต้องการที่เป็นเหตุแห่งความทุกข์ความร้อน
แม้คิดเปรียบถึงความสุขและความไม่สุขของคนนอนหลับกับคนตื่นอยู่
กับความสุขและความไม่สุขของคนมีความปรารถนาต้องการรุนแรง
ในใจคนมีความปรารถนาต้องการน้อยก็จะได้พบคำตอบที่ชัดเจน
ที่น่าจะทำให้ตัดสินใจเลือกได้ว่า ควรพยายามทำใจตนเองให้มี
ความปรารถนาต้องการน้อยหรือไม่
ที่มา : www.inwza.com
วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555
สุข สดชื่น แจ่มใส
DOWNLOAD : http://www.fungdham.com/download/book/panya-sooksodchun.pdf
ที่มา : ฟังธรรม.COM
อานาปานสติ วิถีแห่งความสุข DOWNLOAD : http://www.fungdham.com/book/mitsuoe.html ที่มา : ฟังธรรม.COM |
วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555
E-book " ความสุขง่ายๆ แค่ปลายจมูก (ฉบับขยายความ) " โดยพระมหาวิเชียร ชินวโส
เขียนโดย LooKNuM ที่ 22:33รักษาใจให้ไกลทุกข์
ที่มา : ilovelibrary
บริหารคนให้สำราญ บริหารงานให้สัมฤทธิ์
DOWNLOAD : http://www.ilovelibrary.com/book_detail_nologin.php?id=06600010924&group=BK-008
ที่มา : ilovelibrary
ธรรมะสำหรับเยาวชน
ที่มา : ilovelibrery
รักแท้ คือ กรุณา
ความ รักเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราทุกคนอยู่แล้วทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัวสำหรับ ผู้ที่รักอย่างรู้ตัว ที่ใดมีรักที่นั้นก็มีความสุข แต่สำหรับผู้ที่รักอย่างลืมตัว ที่ใดมีรักที่นั้นก็มีทุกข์
หนังสือรักแท้ คือ กรุณา จะทำให้เราเห็นว่า ความรักมีกี่มิติ มีผลดี ผลเสีย และผลข้างเคียงอย่างไร หวังว่าเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้วเราทุกคนจะมีมุมมองต่อความรักด้วย ทรรศนะใหม่ และมีความสุขทุกครั้งเมื่อมีความรัก เนื่องเพราะ รักแท้ คือ กรุณา รักแท้มาเมื่อไหร่ ความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานและการเป็นผู้ให้ก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น
ที่มา : ilovelibrary
ทวิสธรรมนำทวิตเตอร์
โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทุกวินาที
เกณฑ์วัดอย่างหนึ่งว่าโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วก็คือ สภาพโลกาภิวัตน์
ที่ทำให้พรมแดนของประเทศ พรมแดนของความรู้พรมแดนของศาสนา ภาษา วัฒนธรรม พังทลายลงไป
ในเมืองไทยของเรา บริการโทรเลขของไทยเพิ่งถูกยกเลิกไป
สำนักงานต่างๆ ลดการใช้กระดาษลง หันมาใช้หน้าจอ คอมพิวเตอร์แทน
คนทำงานที่บ้านมากขึ้น เพราะเทคโนโลยีสามารถเชื่อมโยง ถึงกันหมดทั้งโลก
ไม่ต้องออกจากบ้าน ก็สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นๆ ใน บริษัทได้
คนทำงานธนาคารถูกเชิญออกจากงานมากขึ้น เพราะการทำธุรกรรมทางการเงินสามารถทำได้โดยไม่ต้องมาที่ธนาคารไปเสียทุกเรื่อง
โทรศัพท์หนึ่งเครื่องสามารถใช้เป็นเครื่องมือสื่อสาร ส่งจดหมาย ดูหนัง ฟังเพลง ส่งคลิปภาพและเสียง ตารางนัดหมาย
นาฬิกาปลุก กล้องถ่ายรูป หรือแม้แต่เป็นโทรทัศน์ กระทั่งโรงหนัง ส่วนตัว
DOWNLOAD : http://www.ilovelibrary.com/book_detail_nologin.php?id=06600010832&group=BK-008
ที่มา : ilovelibrary
วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ธรรมะสบายๆ ...ความสุขเล็กเล็กแค่ ๒๐ บาท
วณิพกคนหนึ่ง หิวข้าวมาก ต้องการเงินสัก ๒๐ บาท เพื่อไปซื้อข้าวกิน ขอทั้งวันได้ไม่พอซื้อ จึงไปขอท่านเศรษฐใจบุญดีกว่า รบกวนท่านอีกสักครั้ง
"ท่านเศรษฐีอยู่ห้องพระ ไปนั่งรอท่านที่หน้าห้องได้"
ลูกน้องเศรษฐี แจ้งแก่ วณิพกอย่างคุ้นเคยกันเอง โชคดีเหลือเกินนั่งรอแป๊ปเดียว เศรษฐีไหว้พระเสร็จพอดี แต่ได้ยินเสียงท่านขอพร พอจับใจความได้
"สาธุ ด้วยอานิสงส์ของการไหว้พระสวดมนต์ ขอให้ข้าพเจ้าร่ำรวยมีเงินอีกสัก ๑๐ ล้าน บ้านอีกสัก ๑๐ หลัง รถอีกสัก ๕ คัน มีเมียอีกสัก ๕ คน..."
แค่นั่นแหล่ะ วณิพกลุกเดินกลับทันที เศรษฐีเห็นก็ร้องทักด้วยความเป็นห่วง
"อ้าวจะไปไหน มีใครให้อะไรหรือยัง"
"ผมไม่ขอท่านแล้วครับ ผมสงสารท่านเศรษฐี ครับ"
"อุ๊ว่ะ สงสารข้าทำไมกัน ข้ามีเยอะไม่ต้องเกรงใจ"
"ผมเพิ่งรู้ความจริง วันนี้เองว่า ท่านเศรษฐีไม่ได้รวยจริงหรอก ครับ ยากจนกว่าผมอีก" วณิพกเอ่ยบอก
"ว่ะ ไอ้นี่พูดแปลก ข้ารวย จะบอกว่าข้ายากจนกว่าแก่ยังไง งง จริงๆ"
"ผมขาดแค่ ๒๐ บาท แต่ท่านขาดตั้ง ๑๐ ล้าน ขาดบ้านตั้ง ๑๐ หลัง ขาดรถ ๕ คัน ขาดเมียตั้ง ๕ คน แสดงว่าท่านจนกว่าผมชิครับ" วณิพกเอ่ย
"อืม...?? (ลึกซึ้ง)..." ท่านเศรษฐีเข้าใจ
คุณโยมล่ะ แจ่มแจ้งหรือยัง ทุกอย่างจบที่คำว่า พอ รู้จัก เข้าใจคำนี้ก็สุขได้ มีเงินมากแค่ไหนล่ะจึงจะมีความสุข บ้านหลังใหญ่ขนาดไหนจึงมีความสุข
แค่พอใจ พอเพียง เข้าใจ และใช้ประโยชน์คุ้มที่สุด ความสุขก็ไม่ไปไหนเสีย
จน คือ ไม่มี แต่ก็มิใช่ความทุกข์
รวย คือ มีมาก แต่ใช่จะมีความสุข
เด็กบางคน มีตุ๊กตาตัวเดียว ก็มีความสุขแล้ว เพราะสามารถเล่นเพลินได้ทั้งวัน เด็กบางคน มีเงินแค่ ๒๐ - ๓๐ บาท ก็บอกว่ารวยแล้ว เพราะสามารถซื้อขนมที่อยากกินได้
ผู้ใหญ่หลายคน มีรถ มีบ้าน คนบางคน มีมือถือดี ๆ มีนาฬิกาแพงๆ บ้านบางหลัง มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย แต่เราก็ยังไปหาความสุขที่อื่น หรือ ไปหาความสุขนอกบ้านอยู่เรื่อยๆ
เพราะอะไร?
ที่มา : หนังสือ ธรรมะสบายๆ
วณิพกคนหนึ่ง หิวข้าวมาก ต้องการเงินสัก ๒๐ บาท เพื่อไปซื้อข้าวกิน ขอทั้งวันได้ไม่พอซื้อ จึงไปขอท่านเศรษฐใจบุญดีกว่า รบกวนท่านอีกสักครั้ง
"ท่านเศรษฐีอยู่ห้องพระ ไปนั่งรอท่านที่หน้าห้องได้"
ลูกน้องเศรษฐี แจ้งแก่ วณิพกอย่างคุ้นเคยกันเอง โชคดีเหลือเกินนั่งรอแป๊ปเดียว เศรษฐีไหว้พระเสร็จพอดี แต่ได้ยินเสียงท่านขอพร พอจับใจความได้
"สาธุ ด้วยอานิสงส์ของการไหว้พระสวดมนต์ ขอให้ข้าพเจ้าร่ำรวยมีเงินอีกสัก ๑๐ ล้าน บ้านอีกสัก ๑๐ หลัง รถอีกสัก ๕ คัน มีเมียอีกสัก ๕ คน..."
แค่นั่นแหล่ะ วณิพกลุกเดินกลับทันที เศรษฐีเห็นก็ร้องทักด้วยความเป็นห่วง
"อ้าวจะไปไหน มีใครให้อะไรหรือยัง"
"ผมไม่ขอท่านแล้วครับ ผมสงสารท่านเศรษฐี ครับ"
"อุ๊ว่ะ สงสารข้าทำไมกัน ข้ามีเยอะไม่ต้องเกรงใจ"
"ผมเพิ่งรู้ความจริง วันนี้เองว่า ท่านเศรษฐีไม่ได้รวยจริงหรอก ครับ ยากจนกว่าผมอีก" วณิพกเอ่ยบอก
"ว่ะ ไอ้นี่พูดแปลก ข้ารวย จะบอกว่าข้ายากจนกว่าแก่ยังไง งง จริงๆ"
"ผมขาดแค่ ๒๐ บาท แต่ท่านขาดตั้ง ๑๐ ล้าน ขาดบ้านตั้ง ๑๐ หลัง ขาดรถ ๕ คัน ขาดเมียตั้ง ๕ คน แสดงว่าท่านจนกว่าผมชิครับ" วณิพกเอ่ย
"อืม...?? (ลึกซึ้ง)..." ท่านเศรษฐีเข้าใจ
คุณโยมล่ะ แจ่มแจ้งหรือยัง ทุกอย่างจบที่คำว่า พอ รู้จัก เข้าใจคำนี้ก็สุขได้ มีเงินมากแค่ไหนล่ะจึงจะมีความสุข บ้านหลังใหญ่ขนาดไหนจึงมีความสุข
แค่พอใจ พอเพียง เข้าใจ และใช้ประโยชน์คุ้มที่สุด ความสุขก็ไม่ไปไหนเสีย
จน คือ ไม่มี แต่ก็มิใช่ความทุกข์
รวย คือ มีมาก แต่ใช่จะมีความสุข
เด็กบางคน มีตุ๊กตาตัวเดียว ก็มีความสุขแล้ว เพราะสามารถเล่นเพลินได้ทั้งวัน เด็กบางคน มีเงินแค่ ๒๐ - ๓๐ บาท ก็บอกว่ารวยแล้ว เพราะสามารถซื้อขนมที่อยากกินได้
ผู้ใหญ่หลายคน มีรถ มีบ้าน คนบางคน มีมือถือดี ๆ มีนาฬิกาแพงๆ บ้านบางหลัง มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย แต่เราก็ยังไปหาความสุขที่อื่น หรือ ไปหาความสุขนอกบ้านอยู่เรื่อยๆ
เพราะอะไร?
ที่มา : หนังสือ ธรรมะสบายๆ
งานสำเร็จเพราะ...รู้จักให้
การงานในทุกองค์กรหรือทุกหน่วยงานจะประสบความสำเร็จได้เพราะรู้จักให้ เพราะการให้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ปราชญ์เมธี ท่านจึงกล่าวว่า "มือของผู้ให้ย่อมอยู่เหนือมือของผู้รับ" ท่านทั้งหลายลองสังเกตดูนะว่า เวลาเราให้อะไรกับใครสักอย่างมือเราจะอยู่เหนือเขาเสมอ อย่าเถียงนะว่าไม่เสมอไป (เดี๋ยวต้องอธิบายต่อ)
การทำงานในองค์กรที่จะประสบความสำเร็จได้ต้องรู้จักให้ถ้าให้ให้เป็น เห็นจะเป็นใหญ่ได้ ถ้าให้ไม่เป็น เห็นจะเป็นใหญ่ยาก เพราะเมื่อเราให้สิ่งใด เราย่อมได้ส่งนั้นตอบคือ การให้เกียรติให้กำลังใจกัน ให้คำพูดชื่นชม ให้คำแนะนำแก่กัน ให้โอกาส ให้เวลา ให้อภัย ให้น้ำใจ ให้ความรัก ให้รอยยิ้มแก่กันและกัน
สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ "การให้น้ำใจ" เพราะการให้น้ำใจ จะเป็นสิ่งผูกการให้ทุกอย่างไว้ด้วยกัน จะทำให้เป็นที่รักที่ชื่นชอบของคนอื่นๆ ผู้ที่มีน้ำใจส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีอารมณ์ดี มักมองโลกในแง่ดี มีความคิดทางบวก (Positive Thinking) พร้อมที่จะช่วยเหลือและให้ความร่วมมือกับผู้อื่นเสมอ โดยมากบุคคลประเภทนี้จะตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เนื่องจากมีบารมีที่คุ้มครองตนเองอยู่ โดยไม่รู้ตัว
จึงมีคำพูดที่น่าฟังว่า "น้ำบ่อน้ำคลอง ก็เป็นรองน้ำใจ น้ำไหนไหน ก็สู้น้ำใจไม่ได้"
จงทำใจให้เต็มไปด้วยคำพูดที่ว่า "มีอะไรให้ฉันช่วยไหม" คือการแสดงน้ำใจ แทนที่จะพูดว่า "ช่วยฉันหน่อยได้ไหม"
"โง่ไม่เป็น เป็นใหญ่ยาก ถ้าโง่มากก็ยากจะเป็นใหญ่"
ที่มา : หนังสือ ผ่านทุกข์ ก็เจอสุข
การงานในทุกองค์กรหรือทุกหน่วยงานจะประสบความสำเร็จได้เพราะรู้จักให้ เพราะการให้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ปราชญ์เมธี ท่านจึงกล่าวว่า "มือของผู้ให้ย่อมอยู่เหนือมือของผู้รับ" ท่านทั้งหลายลองสังเกตดูนะว่า เวลาเราให้อะไรกับใครสักอย่างมือเราจะอยู่เหนือเขาเสมอ อย่าเถียงนะว่าไม่เสมอไป (เดี๋ยวต้องอธิบายต่อ)
การทำงานในองค์กรที่จะประสบความสำเร็จได้ต้องรู้จักให้ถ้าให้ให้เป็น เห็นจะเป็นใหญ่ได้ ถ้าให้ไม่เป็น เห็นจะเป็นใหญ่ยาก เพราะเมื่อเราให้สิ่งใด เราย่อมได้ส่งนั้นตอบคือ การให้เกียรติให้กำลังใจกัน ให้คำพูดชื่นชม ให้คำแนะนำแก่กัน ให้โอกาส ให้เวลา ให้อภัย ให้น้ำใจ ให้ความรัก ให้รอยยิ้มแก่กันและกัน
สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ "การให้น้ำใจ" เพราะการให้น้ำใจ จะเป็นสิ่งผูกการให้ทุกอย่างไว้ด้วยกัน จะทำให้เป็นที่รักที่ชื่นชอบของคนอื่นๆ ผู้ที่มีน้ำใจส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีอารมณ์ดี มักมองโลกในแง่ดี มีความคิดทางบวก (Positive Thinking) พร้อมที่จะช่วยเหลือและให้ความร่วมมือกับผู้อื่นเสมอ โดยมากบุคคลประเภทนี้จะตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เนื่องจากมีบารมีที่คุ้มครองตนเองอยู่ โดยไม่รู้ตัว
จึงมีคำพูดที่น่าฟังว่า "น้ำบ่อน้ำคลอง ก็เป็นรองน้ำใจ น้ำไหนไหน ก็สู้น้ำใจไม่ได้"
จงทำใจให้เต็มไปด้วยคำพูดที่ว่า "มีอะไรให้ฉันช่วยไหม" คือการแสดงน้ำใจ แทนที่จะพูดว่า "ช่วยฉันหน่อยได้ไหม"
"โง่ไม่เป็น เป็นใหญ่ยาก ถ้าโง่มากก็ยากจะเป็นใหญ่"
ที่มา : หนังสือ ผ่านทุกข์ ก็เจอสุข
คำสอน " สุดยอด ๑๐ บุญ ที่ทำแล้วจะรุ่งเรืองทุกด้าน " โดยพระมหาไพวัลย์ ชินทตฺตญาโณ
เขียนโดย LooKNuM ที่ 22:25
สุดยอด ๑๐ บุญ ที่ทำแล้วจะรุ่งเรืองทุกด้าน
๑. บุญที่เกิดจากากรให้ทาน ซึ่งบุญที่เกิดจากการให้ทาน จะส่งผลให้เราเป็นคนมั่งคั่งมีทรัพย์มาก
๒. บุญที่เกิดจากการหมั่นรักษาศีล บุญที่เกิดจากการหมั่นรักษาศีลอย่างเคร่งครัด ส่งผลให้เรามีสุขภาพดี ชีวิตมีสวัสดิภาพ
๓. บุญที่เกิดจากการภาวนา ถ้าเราหมั่นภาวนาอยู่เสมอทุกวันๆ เจริญสติ ฝึกสมาธิอยู่ทุกขณะ อย่าให้ขาด ซึ่งบุญนี้จะส่งผลให้เราเป็นคนที่มีพลังอำนาจในตนเองและมีสติปัญญา
๔. บุญที่เกิดจากการประพฤติอ่อนน้อม ถ้าใครเคยประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ รู้จักถ่อมตน เราก็ได้บุญไปแล้ว จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรแล้วเกิดผลดี สิ่งนั้นก็เป็นบุญหมด ผู้ที่ควรอ่อนน้อม คือ ผู้ประเสริฐ ผู้มีความบริสุทธิ์ใจเราจะต้องประพฤติอ่อนน้อมอยู่เสมอ ซึ่งบุญนี้จะส่งผลให้เราเป็นที่รักที่เมตตา และอยู่ในสังคมอันสูง
๕. บุญที่เกิดจากการขวนขวายในกิจผู้อื่น ใครก็ตามที่ควรได้รับความช่วยเหลือ เราจะช่วยเขาตามสมควรแก่ฐานะ คือ ถ้าทุกคนดีขึ้นจริงๆ บุญนี้ก็จะส่งผลให้เรามีบริวารมาก มีคนอาสาช่วยเรายามเดือดร้อน
๖. บุญที่เกิดจากการฟังธรรม บุญนี้จะรวมไปถึง การที่เราอ่านหนังสือ ฟังเทป หรือฟังเทศน์ ที่จะช่วยเราให้เห็นแง่มุมของชีวิตครบถ้วน บุญในข้อนี้จะส่งผลให้วิสัยทัศน์ของเรากว้างขวางล้ำลึก
๗. บุญที่เกิดจากการแบ่งปันธรรมะ เมื่อเรารู้ว่าใครที่ด้อยว่าเราแล้ว เราก็ควรแนะนำ สั่งสอนตักเตือนเขาด้วยความเมตตา ด้วยใจที่ปรารถนาดีจริงๆ เป็นการแบ่งปันธรรมะ ซึ่งจะส่งผลให้เราแตกฉานและมั่นคงในความดีงามหรือถ้าเราไม่มีความรู้เรื่องธรรมะมากนัก เราก็สามารถแบ่งปันธรรมะด้วยการพิมพ์หนังสือธรรมะ และมอบซีดีธรรมะให้แก่กัน
๘. บุญที่เกิดจากการอุทิศบุญ เมื่อเราทำความดีใดๆ เราก็ควรหมั่นเผื่อแผ่ความดีให้แก่คนอื่น บุญจะส่งผลให้เราจิตใจสะอาด อิสระและยิ่งใหญ่ขึ้น (ถ้าเรายิ่งอุทิศบุญมากแล้ว บุญนั้นก็จะสะท้อนกลับมาหาเราเป็น ๒ เท่าของบุญทั้งหมด เราไม่ต้องกลัวว่าบุญของเราจะหมดไป)
๙. บุญที่เกิดจากการอนุโมทนา ในข้อนี้เราจะเห็นได้ว่า เมื่อใครทำความดี เราควรยินดีในความดีของเขา ทำให้จิตใจของเราสูงขึ้น ไม่อิจฉาริษยา บุญนี้จะส่งผลให้เรามีมิตรมาก มีความสัมพันธ์ที่ดี
๑๐. บุญที่เกิดจากการทำความเห็นให้ตรงสัจจะ คือ ทำปัญญาให้ตรงสัจจะอันล้ำลึกหรือการทำปัญญาให้ตรงกับเป้าหมายสูงสุดของชีวิต ปรับวิถีทาง ทำกิจการงานทุกอย่างให้ได้ประโยชน์สูงสุดสำหรับทุกฝ่าย
สุดยอดบุญ ที่ใครหลายๆ คนไม่มีโอกาสได้ทำ จึงนำมาแนะนำให้ทุกคนได้ลองนำไปปฏิบัติกันดู แต่หัวใจสำคัญของความดีทั้งหมดนี้ก็คือ "ทำดีให้ทั่ว หนีชั่วให้พ้น ฝึกตนให้เป็นคนดี"
หยอด "ความดี" ใส่กระปุกวันละนิด เชื่อสิ อีกไม่นานเดี๋ยวมันก็เต็ม
ที่มา : พระมหาไพวัลย์ ชินทตฺตญาโณ
๑. บุญที่เกิดจากากรให้ทาน ซึ่งบุญที่เกิดจากการให้ทาน จะส่งผลให้เราเป็นคนมั่งคั่งมีทรัพย์มาก
๒. บุญที่เกิดจากการหมั่นรักษาศีล บุญที่เกิดจากการหมั่นรักษาศีลอย่างเคร่งครัด ส่งผลให้เรามีสุขภาพดี ชีวิตมีสวัสดิภาพ
๓. บุญที่เกิดจากการภาวนา ถ้าเราหมั่นภาวนาอยู่เสมอทุกวันๆ เจริญสติ ฝึกสมาธิอยู่ทุกขณะ อย่าให้ขาด ซึ่งบุญนี้จะส่งผลให้เราเป็นคนที่มีพลังอำนาจในตนเองและมีสติปัญญา
๔. บุญที่เกิดจากการประพฤติอ่อนน้อม ถ้าใครเคยประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ รู้จักถ่อมตน เราก็ได้บุญไปแล้ว จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรแล้วเกิดผลดี สิ่งนั้นก็เป็นบุญหมด ผู้ที่ควรอ่อนน้อม คือ ผู้ประเสริฐ ผู้มีความบริสุทธิ์ใจเราจะต้องประพฤติอ่อนน้อมอยู่เสมอ ซึ่งบุญนี้จะส่งผลให้เราเป็นที่รักที่เมตตา และอยู่ในสังคมอันสูง
๕. บุญที่เกิดจากการขวนขวายในกิจผู้อื่น ใครก็ตามที่ควรได้รับความช่วยเหลือ เราจะช่วยเขาตามสมควรแก่ฐานะ คือ ถ้าทุกคนดีขึ้นจริงๆ บุญนี้ก็จะส่งผลให้เรามีบริวารมาก มีคนอาสาช่วยเรายามเดือดร้อน
๖. บุญที่เกิดจากการฟังธรรม บุญนี้จะรวมไปถึง การที่เราอ่านหนังสือ ฟังเทป หรือฟังเทศน์ ที่จะช่วยเราให้เห็นแง่มุมของชีวิตครบถ้วน บุญในข้อนี้จะส่งผลให้วิสัยทัศน์ของเรากว้างขวางล้ำลึก
๗. บุญที่เกิดจากการแบ่งปันธรรมะ เมื่อเรารู้ว่าใครที่ด้อยว่าเราแล้ว เราก็ควรแนะนำ สั่งสอนตักเตือนเขาด้วยความเมตตา ด้วยใจที่ปรารถนาดีจริงๆ เป็นการแบ่งปันธรรมะ ซึ่งจะส่งผลให้เราแตกฉานและมั่นคงในความดีงามหรือถ้าเราไม่มีความรู้เรื่องธรรมะมากนัก เราก็สามารถแบ่งปันธรรมะด้วยการพิมพ์หนังสือธรรมะ และมอบซีดีธรรมะให้แก่กัน
๘. บุญที่เกิดจากการอุทิศบุญ เมื่อเราทำความดีใดๆ เราก็ควรหมั่นเผื่อแผ่ความดีให้แก่คนอื่น บุญจะส่งผลให้เราจิตใจสะอาด อิสระและยิ่งใหญ่ขึ้น (ถ้าเรายิ่งอุทิศบุญมากแล้ว บุญนั้นก็จะสะท้อนกลับมาหาเราเป็น ๒ เท่าของบุญทั้งหมด เราไม่ต้องกลัวว่าบุญของเราจะหมดไป)
๙. บุญที่เกิดจากการอนุโมทนา ในข้อนี้เราจะเห็นได้ว่า เมื่อใครทำความดี เราควรยินดีในความดีของเขา ทำให้จิตใจของเราสูงขึ้น ไม่อิจฉาริษยา บุญนี้จะส่งผลให้เรามีมิตรมาก มีความสัมพันธ์ที่ดี
๑๐. บุญที่เกิดจากการทำความเห็นให้ตรงสัจจะ คือ ทำปัญญาให้ตรงสัจจะอันล้ำลึกหรือการทำปัญญาให้ตรงกับเป้าหมายสูงสุดของชีวิต ปรับวิถีทาง ทำกิจการงานทุกอย่างให้ได้ประโยชน์สูงสุดสำหรับทุกฝ่าย
สุดยอดบุญ ที่ใครหลายๆ คนไม่มีโอกาสได้ทำ จึงนำมาแนะนำให้ทุกคนได้ลองนำไปปฏิบัติกันดู แต่หัวใจสำคัญของความดีทั้งหมดนี้ก็คือ "ทำดีให้ทั่ว หนีชั่วให้พ้น ฝึกตนให้เป็นคนดี"
หยอด "ความดี" ใส่กระปุกวันละนิด เชื่อสิ อีกไม่นานเดี๋ยวมันก็เต็ม
ที่มา : พระมหาไพวัลย์ ชินทตฺตญาโณ
เมื่อล้ม...อย่าจมอยู่กับความเจ็บปวด
เวลาที่ผิดหวังไม่สมหวังกับการทำงาน หรือการใช้ชีวิตในมุมต่างๆ อย่ามัวแต่นั่งเศร้าโศกเสียใจคร่ำครวญกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะหากเรามัวแต่นั่งเสียใจก็ไม่ได้อะไรใหม่ๆ ในชีวิตแต่จงมองโลกในแง่บวกแทนที่จะจมอยู่กับความเจ็บปวด ทำไมเราไม่ใช้โอกาสแห่งความเจ็บปวดนี้เป็นครูของเรา
เหมือนสมัยเป็นเด็กเราหัดปั่นจักรยาน กว่าจะปั่นเป็นเราก็ต้องผ่านการล้มจนเข่าแตกเลือดออกมาหลายครั้งหลายคราว ถึงจะร้องไห้แต่ก็แป็ปเดียว แต่มันยิ่งเพิ่มความท้าท้ายให้ชีวิตว่าเราจะต้องเอาชนะมันให้ได้ และเราก็ประคองจักรยานขึ้นแล้วเริ่มปั่นมันอีกครั้ง สุดท้ายเราก็ปั่นมันได้เพราะความเพียรความพยายาม (วิริยะ) พอไม่นานเราก็อยากขับมอเตอร์ไซค์เป็น และเราก็ทำได้
ฉะนั้น ความเจ็บปวดหรือความผิดหวังก็เช่นกัน ทำไมเราไม่ทำตัวเองให้เหมือนตอนเราเป็นเด็กลุกขึ้นมาสู้กับมันและเอาชนะมันให้ได้ มีตัวอย่างของชายคนหนึ่งที่ร่างกายเขาพิการแต่ใจไม่พิการ เขาคือ นิควู จิซิค
หลายคนคงสงสัยว่า นิควู จิซิค เป็นใคร เขาเป็นชาวออสเตรเลีย พ่อแม่เป็นชาวเซอร์เบียซึ่งอุทิศตนให้คริสตศาสนา นิควู จิซิค เกิดมาไม่มีแขนทั้งสองข้าง มีขาสั้นๆ ข้างเดียวที่มีนิ้วโป้งสองนิ้วเท่าน้น แทนที่จะมัวหมกมุ่นสงสารตัวเอง หรือโกรธเกรี้ยวผู้คนรอบข้างด้วยเหตุผลต่างๆ นานาของ "ความไม่ยุติธรรม" (Why me?) เขากลับบอกพ่อแม่ว่าเขาอยากใช้ชีวิตปกติ ไม่ต้องการให้ใครมาดูแลหรือปฏิบัติต่อเขาอย่างพิเศษ แล้วเขาก็ใช้ชีวิตปกติ ไปโรงเรียนสามัญเรียนร่วมกับเพื่อนที่มีร่างกายสมบูรณ์ ผู้คนต่างมองเขาอย่างประหลาดใจ โดยที่ไม่ได้ตระหนักเลยว่าสิ่งที่พวกเขาคิดกับความเป็นจริงนั้น เป็นคนละเรื่องเลย เขาเรียนจบบัญชี และปัจจุบันเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจที่เดินทางรอบโลก เพื่อพูดกับเด็กวัยรุ่นที่มีความคับข้องใจ ไม่พอใจ เป็นตัวอย่างที่มีชีวิต แสดงให้เห็นว่าที่แต่ละคนมีนั้น ยิ่งใหญ่ขนาดไหน จะทุกข์ร้อนอะไรนักหนา
เขาได้พูดไว้ช่วงหนึ่งของการบรรยายว่า "บางครั้งชีวิตที่ล้มลง คุณคิดว่าคุณมีความหวังไหมที่จะลุกขึ้น ผมล้มลงตรงนี้แต่ผมไม่มีแขน ไม่มีขา ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะลุกขึ้น แต่มันไม่ใช่เลยครับ คุณรู้ไหมผมพยายามเป็นร้อยครั้ง เพื่อที่จะลุกขึ้นทุกครั้งที่ผมล้มลงถ้าผมล้มแล้วยอมแพ้ คุณคิดว่าผมจะลุกขึ้น ได้ไหม (ไม่) แต่ถ้าผมพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันจะไม่ใช่จุดจบมันสำคัญนะครับว่าคุณจะสิ้นสุดความพยายามอย่างไร ถ้าคุณอยากจะผ่านมันไปได้อย่างเข้มแข็ง คุณต้องอาศัยกำลังใจที่จะลุกขึ้น" (เขาเอาหน้าดันพื้นเพื่อประคองตัวเองลุกขึ้น) และได้รับเสียงปรบมือสนั่นกึกก้อง
ดังนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่เราทำงานผิดพลาด หรือไม่ประสบความสำเร็จ ก็ไม่ควรยอมแพ้ หรือท้อแท้กับชีวิต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสไว้ว่า "คนท้อไม่แท้ คนแท้ต้องไม่ท้อ" ควรใช้ความเจ็บปวด หรือข้อผิดพลาดนั้น เป็นเสมือนเทปพันหัวใจให้หนักแน่น และเข้มแข็งยิ่งๆ ขึ้นไป
ที่มา : พระมหามงคล วรรมฺมวาที
เวลาที่ผิดหวังไม่สมหวังกับการทำงาน หรือการใช้ชีวิตในมุมต่างๆ อย่ามัวแต่นั่งเศร้าโศกเสียใจคร่ำครวญกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะหากเรามัวแต่นั่งเสียใจก็ไม่ได้อะไรใหม่ๆ ในชีวิตแต่จงมองโลกในแง่บวกแทนที่จะจมอยู่กับความเจ็บปวด ทำไมเราไม่ใช้โอกาสแห่งความเจ็บปวดนี้เป็นครูของเรา
เหมือนสมัยเป็นเด็กเราหัดปั่นจักรยาน กว่าจะปั่นเป็นเราก็ต้องผ่านการล้มจนเข่าแตกเลือดออกมาหลายครั้งหลายคราว ถึงจะร้องไห้แต่ก็แป็ปเดียว แต่มันยิ่งเพิ่มความท้าท้ายให้ชีวิตว่าเราจะต้องเอาชนะมันให้ได้ และเราก็ประคองจักรยานขึ้นแล้วเริ่มปั่นมันอีกครั้ง สุดท้ายเราก็ปั่นมันได้เพราะความเพียรความพยายาม (วิริยะ) พอไม่นานเราก็อยากขับมอเตอร์ไซค์เป็น และเราก็ทำได้
ฉะนั้น ความเจ็บปวดหรือความผิดหวังก็เช่นกัน ทำไมเราไม่ทำตัวเองให้เหมือนตอนเราเป็นเด็กลุกขึ้นมาสู้กับมันและเอาชนะมันให้ได้ มีตัวอย่างของชายคนหนึ่งที่ร่างกายเขาพิการแต่ใจไม่พิการ เขาคือ นิควู จิซิค
หลายคนคงสงสัยว่า นิควู จิซิค เป็นใคร เขาเป็นชาวออสเตรเลีย พ่อแม่เป็นชาวเซอร์เบียซึ่งอุทิศตนให้คริสตศาสนา นิควู จิซิค เกิดมาไม่มีแขนทั้งสองข้าง มีขาสั้นๆ ข้างเดียวที่มีนิ้วโป้งสองนิ้วเท่าน้น แทนที่จะมัวหมกมุ่นสงสารตัวเอง หรือโกรธเกรี้ยวผู้คนรอบข้างด้วยเหตุผลต่างๆ นานาของ "ความไม่ยุติธรรม" (Why me?) เขากลับบอกพ่อแม่ว่าเขาอยากใช้ชีวิตปกติ ไม่ต้องการให้ใครมาดูแลหรือปฏิบัติต่อเขาอย่างพิเศษ แล้วเขาก็ใช้ชีวิตปกติ ไปโรงเรียนสามัญเรียนร่วมกับเพื่อนที่มีร่างกายสมบูรณ์ ผู้คนต่างมองเขาอย่างประหลาดใจ โดยที่ไม่ได้ตระหนักเลยว่าสิ่งที่พวกเขาคิดกับความเป็นจริงนั้น เป็นคนละเรื่องเลย เขาเรียนจบบัญชี และปัจจุบันเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจที่เดินทางรอบโลก เพื่อพูดกับเด็กวัยรุ่นที่มีความคับข้องใจ ไม่พอใจ เป็นตัวอย่างที่มีชีวิต แสดงให้เห็นว่าที่แต่ละคนมีนั้น ยิ่งใหญ่ขนาดไหน จะทุกข์ร้อนอะไรนักหนา
เขาได้พูดไว้ช่วงหนึ่งของการบรรยายว่า "บางครั้งชีวิตที่ล้มลง คุณคิดว่าคุณมีความหวังไหมที่จะลุกขึ้น ผมล้มลงตรงนี้แต่ผมไม่มีแขน ไม่มีขา ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะลุกขึ้น แต่มันไม่ใช่เลยครับ คุณรู้ไหมผมพยายามเป็นร้อยครั้ง เพื่อที่จะลุกขึ้นทุกครั้งที่ผมล้มลงถ้าผมล้มแล้วยอมแพ้ คุณคิดว่าผมจะลุกขึ้น ได้ไหม (ไม่) แต่ถ้าผมพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันจะไม่ใช่จุดจบมันสำคัญนะครับว่าคุณจะสิ้นสุดความพยายามอย่างไร ถ้าคุณอยากจะผ่านมันไปได้อย่างเข้มแข็ง คุณต้องอาศัยกำลังใจที่จะลุกขึ้น" (เขาเอาหน้าดันพื้นเพื่อประคองตัวเองลุกขึ้น) และได้รับเสียงปรบมือสนั่นกึกก้อง
ดังนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่เราทำงานผิดพลาด หรือไม่ประสบความสำเร็จ ก็ไม่ควรยอมแพ้ หรือท้อแท้กับชีวิต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสไว้ว่า "คนท้อไม่แท้ คนแท้ต้องไม่ท้อ" ควรใช้ความเจ็บปวด หรือข้อผิดพลาดนั้น เป็นเสมือนเทปพันหัวใจให้หนักแน่น และเข้มแข็งยิ่งๆ ขึ้นไป
ที่มา : พระมหามงคล วรรมฺมวาที
อตฺตา หิ ปรมํ ปิโย.
ตนแล เป็นที่รักอย่างยิ่ง
คนเราทุกคนย่อมรักใคร หวงแหนตัวเองก่อนเสมอ แม้จะมีจิตใจรักใคร่คนอื่นหรือต่างเพศก็ตาม นั่นคือไม่ใช่สิ่งจีรรังยั่งยืน และไม่ถาวรมั่นคงและอาจจะไม่ยืดยาวเท่ากับตนเองรักตัวเราเอง เห็นจริงแท้แน่นอนอยู่โดยทั่วๆ ไป เสมอ ๆ ว่า คนที่ไม่รักตนเองแล้ว จะไปรักคนอื่นได้อย่างไร ท่านผู้รู้มักจะแนะนำตักเตือนให้ตนเอง รักตัวเองก่อนอื่นใดเสมอ ดังนั้น เมื่อทุกคนเจริญเติบโตตามวัย จึงต้องมีการแสวงหา เช่นในวันเรียน ต้องมุ่งหาศิลปวิทยา คือเล่าเรียนให้ดีที่สุดเพื่อจะได้นำเอาวิชาความรู้นั้น ไปประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองในอตาคต เมื่อถึงวัยหนุ่มสาว ก็แสวงหาอาชีพที่สุจริต เพื่อให้ได้เงินทองมาเลี้ยงตนเอง และเก็บหอมรอมริบไว้ส่วนหน่ง เพื่อให้มีใช้จ่ายสร้างบ้านและมีครอบครัวอยู่อาสัย อย่างนี้เป็นต้น ท่านจึงสอนว่า ตนแล เป็นที่รักอย่างยิ่งฯ
ที่มา : คณาจารย์เสลี่ยงเซียงจงเจริญ
วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555
" พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ "
วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
อนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ
สัตถาเทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ
อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง
เวทิตัพโพ วิญญูหีติ
อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา
ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณีโย
อนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
0 ความคิดเห็น: