วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คำสอน " ขุนเขา " โดยพระอาจารย์วงวชิรเมธี

ขุนเขา...




          ผู้รู้ท่านหนึ่งได้กล่าวเอาไว่ว่า " ธรรมะมีอยู่ทุกที่   ถ้าใครตาดีก็จะมองเห็น "    วันนี้พระอาจารย์เห็นขุนเขาเห็นธรรมะเช่นกัน

          (1)  ขุนเขานั้นหนักแน่นเป็นแก่นสาร   ไม่สะเทือนสะท้านเพราะแรงลม   เราทั้งหลายก็ควรทำตนให้เป็นฉันนั้น   กล่าวคือไม่หวั่นไหวเพราะคำชม  เพราะคำด่า

          (2)  ขุนเขาโดดเด่นเห็นแต่ไกล   เราควรฝึกตนให้เป็นคนที่อุดมไปด้วยความรู้   ความดีงาม   เพื่อจะได้มีชื่อเสียงโดดเด่นเห็นแต่ไกล

          (3)  ขุนเขานั้นเป็นแหล่งของพืชพันธุ์ธัญญาหารและต้นน้ำลำธาร   เราทั้งหลายก็ควรฝึกตนให้เป็นแหล่งของคุณงามความดีมากมาย

ถ้าเห็น  ขุนเขา  แล้วน้อมนำธรรมะของขุนเขามาพัฒนาตน   วันหนึ่งข้างหน้า   คนๆ นั้นก็จะเป็น ขุนเขา แห่งความดีได้เช่นเดียวกัน

0 ความคิดเห็น:

คำสอน " สายน้ำ " โดยพระอาจารย์ว.วชิรเมธี

สายน้ำ...


          วันนี้พระอาจารย์ขอถอดรหัสธรรมจากสายน้ำ   นั่นก็คือ

1. น้ำมีความสดชื่นร่มเย็น >>> เราทุกคนก็ควรปรับตัวปรับใจให้เป็นคนใจเย็นฉันนั้นเหมือนกัน

2. น้ำมีความนุ่มนวล   อ่อนโยน  ละมุนละไม >>> เราก็ควรหัดให้เป็นคนนุ่มนวล   อ่อนโยน  ละมุนละไมฉันนั้นเหมือนกัน

3. น้ำปรับตัวได้ในทุกสภาพแวดล้อม >>> เราก็ควรปรับตัวให้อยู่ได้ในทุกสภาพแวดล้อมของชีวิตเหมือนกัน

4. สายน้ำไปถึงไหนก็ก่อให้เกิดชีวิตใหม่ขึ้นที่นั่น >>> เราทุกคนก็ควรบำเพ็ญตนให้เย็นที่ก่อเกิดของคุณงามความดีฉันนั้นเหมือนกัน

0 ความคิดเห็น:

คำสอน " ชีวิต 4 ฤดู " โดยพระอาจารย์ว.วชิรเมธี

ชีวิต 4  ฤดู...


          ฤดูกาลตามธรรมชาติ มี 4 ฤดู  คือ  ฤดูร้อน  ฤดูหนาว  ฤดูฝน  ฤดูแล้งฉันใด   ชีวิตของมนุษย์ก็เปรียบได้กับฤดูการทั้ง 4 ฉันนั้นเหมือนกัน


นั่นก็คือ............


ฤดูร้อน      ก็คือช่วงเวลาที่เรากำลังลงมือสร้างเนื้อสร้างตัวกว่าจะประสบความสำเร็จก็แทบล้มประดา                                                                                                                                                                                                                                           
                  ตัว


ฤดูหนาว   ก็คือช่วงเวลาที่เราทำอะไรก็ตามมองไปทางไหนก็ไม่มีใครยื่นมือมาช่วยเหลือ


ฤดูฝน       ก็คือโมงยามที่เราทำอะไรก็ตามประสบความสำเร็จไปเสียทุกเรื่อง   แต่อย่างไรก็ตามวันหนึ่ง
                 ฤดูแล้งก็จะมาถึง


ฤดูแล้ง     ก็คือวันเวลาที่เราจะต้องทิ้งทุกสิ่งทั้งปวงนี้ไปสู่โลกหน้า


ใครก็ตามที่ไม่รู้จักปรับตัวเมื่อฤดูกาลทั้ง 4 หมุนเวียนเข้ามา   คนเช่นนั้นจะไม่มีภูมิคุ้มกันในการดำรงชีวต


ส่วนคนฉลาดเรียนรู้ที่จะอยู่กับฤดูทั้ง 4 อย่างมีปัญญา   ฤดูไหนผ่านมา....ก็พร้อมที่จะรับมือ

0 ความคิดเห็น:

คำสอน " เปลี่ยนขยะเป็นทองคำ " โดยพระอาจารย์ว.วชิรเมธี

" เปลี่ยนขยะเป็นทองคำ "


          วิธีในการเผชิญกับปัญหาที่สำคัญวิธีหนึ่งก็คือ   การรู้จักเปลี่ยนปัญหาให้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาชีวิต   หรือศิลปะที่เรียกว่า " เปลี่ยนปัญหาเปรียบดั่งขยะให้กลายเป็นทองคำ "


         มีวิธีการดังต่อไปนี้...


1. รู้จักเปลี่ยนการสะเดาะเคราะห์          ให้เป็น          การคิดเชิงวิเคราะห์
2. รู้จักเปลี่ยนคำด่า                               ให้เป็น          คำแนะนำ
3. รู้จักเปลี่ยนมองโลกในแง่ร้าย            ให้เป็น          มองโลกในแง่ดี
4. รู้จักเปลี่ยนอุปสรรค                           ให้เป็น          อุปกรณ์
5. รู้จักเปลี่ยนปัญหา                              ให้เป็น          ปัญญา
6. รู้จักเปลี่ยนศัตรู                                 ให้เป็น           ยาชูกำลัง
7. รู้จักเปลี่ยนวิกฤติ                               ให้เป็น          โอกาส


 " นี่แหละคือศิลปะในการเปลี่ยนขยะซึ่งเป็นสิ่งไร้ค่า   ให้เป็นทองคำซึ่งเป็นสิ่งสูงค่าขึ้นมาในชีวิต "

0 ความคิดเห็น:

คำสอน " ธรรมะสำหรับดารา " โดยพระอาจารย์ว.วชิรเมธี

" ธรรมะสำหรับดารา "


         
          โลกนี้มีคนอยู่หลายวงการด้วยกัน   และคนที่สังกัดทุกๆ วงการล้วนแล้วแต่ต้องใช้ธรรมะในการดำรงชีวิตด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น


          สำหรับคนที่อยู่ในวงการบันเทิงหรือวงการดารา   ซึ่งอยู่กับความสวยและความงาม   อยู่กับศรัทธาของมหาชน   จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีธรรมะมากกว่าวงการอื่นๆ เพราะมหาชนยึดถือกลุ่มบุคคลนี้เป็นบุคคลต้นแบบในการดำรงชีวิต
   
          ธรรมะดารา  มี 3  ประการ   นั่นก็คือ...
1. ถือหลักว่าทำอะไรต้องทำให้เต็มที่และทำให้ดีที่สุด
2. อย่าหยิ่งผยองเมื่อประสบความสำเร็จ
3. เมื่อประสบความสำเร็จแล้วต้องรักษาความสำเร็จของตนเองเอาไว้ให้ดีที่สุด


          เพราะยุคทองของแต่ละคนมีเพียงครั้งเดียว   แลเมื่อยุคทองเดินทางมาถึงจงรักษาเอาไว้ให้ดีที่สุด   " เสมือนหนึ่งเกลือรักษาความเค็ม "

0 ความคิดเห็น:

คำสอน " รักคนมีเจ้าของ " โดยพระอาจารย์ว.วชิรเมธี

" รักคนมีเจ้าของ " 



การแอบรักคนมีเจ้าของผิดหรือไม่?   ถ้าผิดเราจะมีวธีตัดใจยังไง?

เรื่องนี้พระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้ว่า   ถ้าเราไปละเมิดคนที่มีลักษณะ 4 ประการดังต่อไปนี้

1. เป็นคนที่มีเจ้าของ

2. เรารู้อยู่แล้วว่ามีเจ้าของ

3. มีจิตที่ละเมิด 

4. เราลงมือละเมิดสำเร็จ

ถ้าทำครบทั้ง 4 ประการ   ถือว่าเราไปรักคนมีเจ้าของและมีความผิดแน่นอน

วิธีทำใจพระอาจารย์อยากจะสรุปสั้้นๆ ให้จำกันไว้ว่า

" สุขจากการละเมิดคนมีเจ้าของเป็นของของชั่วคราว "

" แต่ให้ความปวดร้าวที่แสนนาน "

0 ความคิดเห็น:

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คำสอน " วันงดสูบบุหรี่โลก " โดยพระอาจารย์ว.วชิรเมธี

" วันงดสูบบุหรี่โลก "



           วันนี้ (31พฤษภาคม) ตรงกับวันงดสูบบุหรี่โลก   ที่เราชาวโลกจัดตั้งใก้เป็นวันงดสูบบุหรี่โลกนั่นก็เป็นเพราะ การศุบบุหรี่นั้นเป็นอันตรายมากมายหลายประการด้วยกัน  เช่น

1. การสูบบุหรี่นั้นก่อให้เกิดสุกไหม้ไม่ใช่สุขเย็น   ที่บอกว่าเป็นสุกไหม้ก็เพราะว่าเวลาที่เราสูบบุหรี่ทุกครั้ง   บุหรี่นั้นทำให้ไหม้มั้งเงิน   ไหม้ทั้งสุขภาพชีวิตของเรา

2.เป็นการใช้จ่ายทุนทรัพย์ไปในทางที่ไม่เอื้อต่อคุณภาพชีวิต   เพราะสิ่งที่เราสูบนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายและคุณภาพชีวิต

3. เป็นต้นทางของโรคภัยไข้เจ็บ   เช่น  โรคถุงลมโป่งพอง   โรคมะเร็งปอด   เป็นค้น

4.ทำให้คนที่อยู่ใกล้ชิด   โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกแก้วเมียขวัญ   ทุกคนที่อยู่สถาบันครอบครัวเดียวกัน   ต้องพลอยได้รับควันพิษจากเราไปด้วย

เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่รักตัวกลัวตายก็ดี   รักครอบครัวก็ดี   ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะให้เราเลิกสูบบุหรี่

" ชีวิตเราเป็นของมีค่า   จงอย่าผลาญพร่าด้วยการสูบบุหรี "

0 ความคิดเห็น:

คำสอน " ฝืนใจ " โดยพระอาจารย์ว.วชิรเมธี

" ฝืนใจ "


         ในชีวิตจริงของเราบ่อยครั้งที่จำเป็นจะต้องทำในเรื่องที่ไม่อยากจะทำ  เช่น  คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ไม่อยากจะดุลูก  ไม่อยากจะตีลูก  แต่เมื่อลูกกระทำความผิดก็จำเป็นต้องทำโทษ   คนที่เป็นผู้บริหารบางครั้งก็ไม่อยากจะตำหนิลูกน้องแต่ก็จำเป็นต้องทำ   ในกรณีอย่างนี้พระอาจารย์ขอแนะนำว่า...

         ถ้าเราจำเป็นจะต้องฝืนใจทำบางเรื่องซึ่งไม่อยากจะทำ   ขอให้ถามตัวเองว่า  " เรื่องที่เราทำนั่นแหละถูกต้องไหม ? "   ถ้าเป็นเรื่องที่ถูกต้องก็ขอให้ทำได้เลย   แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เน้นการถูกใจเป็นหลักไม่ต้องทำ   เพราะถ้าเราทำสิ่งที่ถูกใจในวันนี้   วันพรุ่งนี้อาจจะเสียใจ

ฉะนั้น... ถ้าจำเป็นต้องเลือกระหว่าง   ความถูกต้อง   และ   การถูกใจ   
                                                       ขอให้เน้น  ความถูกต้อง   มาก่อน  การถูกใจ

0 ความคิดเห็น:

คำสอน " คาถากันน้ำตาไหล " โดยพระอาจารย์ว.วชิรเมธี

คาถากันน้ำตาไหล


          ทำอย่างไรจะมีภูมิคุ้มกันในการดำรงชีวิต   ให้สามารถรับมือได้ทั้งความสุขและความทุกข์ในราคาที่เสมอกัน   พระอาจารย์ขอแนะนำให้รู้จัก   คาถากันน้ำตาไหล   ดังต่อไปนี้

1. ไม่แน่ ---> ทุกอย่างในโลกนี้ตกอยู่ในความเปลี่ยนแปลงเสมอ   เหมือนคำกล่าวที่ว่า  " ความไม่แน่นอนนั่นก็คือความแน่นอนนั่นเอง "

2. ไม่ได้ดั่งใจ ---> ก็คือชีวิตของเรานั่นไม่เป็นไปตามที่เราเรียกร้องต้องการ   แต่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยมากมาย

3. ไม่มีอะไรสมบูรณ์ ---> ก็หมายความว่าชีวิตนี้จะไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง   แต่ก็ไม่มีใครที่พลาดหวังทุกอย่างไป


" ไม่แน่   ไม่ได้ดั่งใจ   แล้วก็ไม่มีอะไรสมบูรณ์ "  ใครทำความเข้าใจทั้ง 3 วลีนี้   รับประกันได้ว่า            " น้ำตาไม่ไหล "  แน่นอน

0 ความคิดเห็น:

คำสอน " วันเกิด " โดยพระอาจารย์ว.วชิรเมธี

" HAPPY BIRTH DAY "



          เดี๋ยวนี้คนไทยนิยเฉลิมฉลองวันเกิดไม่ต่างไปจากชาวตะวันตก   การเฉลิมฉลองวันเกิดที่ถูกต้องควรจะทำเช่นไร ?

          ในทัศนของพุทธศาสนาก็ขอให้หลักการเอาไว้ว่า

1. วันเกิดของเราให้นึกว่าเป็น  " วันผู้ให้กำเนิด "  เพราะมีกวีกล่าวไว้ว่า  " วันเกิดลูกคล้ายวันตายแม่ "   ดังนั้นในวันที่ลูกเกิดนั้นเป็นวันที่แม่เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง   วันเกิดแทนที่จะนึกถึงตนเองควรนึกถึงแม่ผู้ให้กำเนิดเป็นเบื้องตน

2. วันเกิดทางกายต้องเป็นวันเกิดทางใจ   นั่นก็คือให้มีคุณธรรมใหม่งอกงามมาในจิตใจด้วย

3. วันคล้ายวันเกิดปีนี้ต้องดีกว่าวันคล้ายวันเกิดเมื่อปีที่ผ่านมา


ถ้าทำได้อย่างน้อย 3 ประการข้างต้น  นี่แหละคือการฉลองวันเกิดที่ถูกต้อง

0 ความคิดเห็น:

คำสอน " คิดบวก " โดยพระอาจารย์ว.วชิรเมธี

คิดบวก



          ทุกวันนี้สังคมไทยเราเริ่มได้ยินคำว่า  คิดบวก   กันมากขึ้น   การ คิดบวก ก็คือ   การมองหาแง่ดี   แง่งามจากสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเลวร้ายหรือสิ่งซึ่งเป็นปัญหาอยู่แล้ว  
 
          ถ้าเราอยากจะ   คิดบวก   ก็มีสูตรง่ายๆ เพียงต้องรู้จักปลูกฝังอุปนิสัยแห่งพระโพธิสัตว์   ซึ่งพร้อมจะเรียนรู้จากทุกเหตุการณ์    ทุกคน   ทุกสถานที่   รวมทั้งทุกๆ สถานการณ์   เหมือนที่ปรมาจารย์ขงจื้อได้กล่าวเอาไว้ว่า

          " หากมีคนเดินผ่านข้าพเจ้ามา 3 คน   3  คนนั้นเป็นครูของข้าพเจ้าทั้งหมด     สำหรับคนดีข้าพเจ้าจะเอาอย่างเขา   สำหรับคนเลวข้าพเจ้าจะไม่เอาอย่างเขา   และสำหรับคนที่ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฎ    ข้าพเจ้าจะบอกตัวเองว่า จงอย่าเป็นเช่นนี้ "

         

0 ความคิดเห็น:

คำสอน " อกหักอยากตาย " โดยพระอาจารย์ว.วชิรเมธี

อกหักอยากตาย


          อกหัก   รักคุด   อยากฆ่าตัวตายจะมีวิธีรับมืออย่างไร ?
พระอาจารย์ขอแนะนำดังต่อไปนี้
1.ให้มองว่าเป็นเรื่องธรรมดา   เพราะว่าในโลกนี้คนที่มีความรักครั้งแรกแล้วได้แต่งงานกับคนที่ตนรักเป็นประชากรส่วนน้อยเท่านั้น
2.ให้มองว่าเป็นวิธีที่ธรรมชาติกำลังจะให้ภูมิคุ้มกันต่อชีวิตของเรา
3.ให้มองออกไปเพื่อที่จะเข้าใจสัจธรรม ว่า ความรักเป็นเพียงอณูเล็กๆ ของชีวิต
4.ไม่จำเป็นต้องฆ่าตัวตาย เพราะความตายเป็นของได้ฟรี

           ควรใช้ชีวิตไปเถอะวันหนึ่งคุณก็จะตายไปเอง   ดังนั้นพระอาจารย์จึงขอสรุปสั้นๆ ว่า ความรักเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชวิต   จึงไม่ควรคิดเอาชีวิตไปสังเวยความรัก

0 ความคิดเห็น:

คำสอน " ควันไฟใครห่อฟุ้ง " โดยพระอาจารย์ว.วชิรเมธี

" ควันไฟใครห่อฟุ้ง "



         สุภาษิตโบราณวันนี้  พระอาจารย์ว.วชิรเมธี   ขอนำธรรมมาฝากพวกเราชาวไทย   นั่นก็คือ  ควันไฟใครห่อฟุ้ง  ก็หมายความว่า   เวลาที่เราก่อไฟขึ้นมาแล้วมีควันลอยฟุ้งขึ้นมาในนภาอากาศ   ต่อให้เราพยายามจะปกปิดควันอย่างไรก็ตามก็มักจะเก็บเอาไว้ไม่มิด   เฉกเช่นเดียวกันกับการที่ใครคนใดคนหนึ่งทำความชั่วช้า  เลวทราม   แล้วเพียรพยายามจะปกปิดความชั่วของตนเอง   พยายามอย่างไรในเมื่อวันหนึ่งข้างหน้าความชั่วช้าเลวทรามนั้นก็ปรากฎ

          ฉะนั้นท่านจึงบอกว่า   ทางที่ดีที่สุดอย่าไปกระทำกรรมชั่่วเลย   เพราะถ้าท่านทำกรรมชั่ว   ความชั่วต้องปรากฎเหมือนควันไฟที่ใครๆ ก็ปิดเอาไว้ไม่มิดนั่นเอง

0 ความคิดเห็น:

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คติเตือนใจ " สัจธรรม " โดยน.พ.อาจินต์ บุณยเกตุ

        
          เมื่อเกิดมา        ใช่จะมา          แต่ตัวเปล่า

กรรมของเจ้า              ตามมาด้วย    ช่วยส่งผล

ทั้งทุกข์สุข                 ชั่วดี                มีระคน

ทุกตัวตน                    มีกรรม            ชักนำไป

          เมื่อเกิดมา        มีกรรม            มาตามเจ้า

เจ้าจะเอา                   กรรมนั้น          ไปไว้ไหน

เหมือนกับเงา             ที่เฝ้า               ตามเจ้าไป

นำผลให้                    เกิดทุกข์สุข      ทุกเวลา

          จงทำดี            ไว้เถิด              จะเกิดสุข

สิ้นจากทุกข์               สบโชคชัย         ที่ใฝ่หา

ได้รับผล                    กุศลกรรม         ล้ำนำพา

ทั้งชาตินี้                   ชาติหน้า          ผาสุกเอย

0 ความคิดเห็น:

คติเตือนใจ



อันเสือสิงห์ กระทิงคลั่งพลังแกร่ง

ถูกฤทธิ์แผลงยังมอดม้วยด้วยกิเลส

อบายมุขสุดหลีกเลี่ยงเสี่ยงทุกเพศ

ต่างต้องตกสู่หลุมพลางทางอารมณ์

อันกิลสเฉกเช่นว่าพาพินาศ

คอยรุกฆาตหมู่ปวงชนคนใจชั่ว

ที่เป็นทาสขาดสติยั้งหลงเมามัว

ไม่รักตัวปฎิบัติตนฝึกฝนธรรม

เกิดเป็นคนอย่าหลงผิดตั้งจิตมั่น

รู้อดกลั้นสิ่งยวนยั่วมั่วสุมอก

จักสุขสันต์ฉุดรั้งตนพ้นนรก

ขอพสกอย่าละธรรมกรรมจะตาย

0 ความคิดเห็น:

คำสอน " น่าเสียดาย " โดยพระอาจารย์ว.วชิรเมธี

น่าเสียดาย


น่าเสียดาย          ที่เรามีพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ   แต่เรากลับศรัทธาไสยศาสตร์หัวปักหัวปำ

น่าเสียดาย          ที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่แสนดี        แต่เรากลับมีคนโกงกิสเต็มบ้านเต็มเมือง

น่าเสียดาย          ที่เรามีวัดวัดอยู่เกือบทุกหมู่บ้าน/ตำบล   แต่ว่ากลับมากด้วยคนขาดจริยธรรม

น่าเสียดาย          ที่เราสถาปนาประชาธิปไตยตั้งแต่ปี 2475  แต่เรากลับมีรัฐประหารแล้ว 14 ครั้ง

น่าเสียดาย          ที่เรามีมหาวิทยาลัยมากมายติดอันดับโลก   แต่เรากลับโชคร้ายที่ชอบดูดวง

น่าเสียดาย          ที่เรามีป่าไม้ แม่น้ำ ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์   แต่เรากลับเทิดทููนการทำลายแทนการรักษา

น่าเสียดาย          ทีเรามีศิลปวัฒนธรรมเป็นของตนเอง   แต่เรากลับเก่งการลอกเลียนแบบเป็นที่สุด

น่าเสียดาย          ที่เรามีสื่อมวลชนมากมายไร้พรมแดน   แต่เจ็บปวดเหลือแสนเมื่อมวลชนเน้นแต่การขายสินค้า

น่าเสียดาย          ที่เรามีกฎหมาย   แต่เรากลับปล่อยให้มีการใช้กฎหมู่จนเป็นเรื่องธรรมดา

น่าเสียดาย          ที่เรามีหนังสือมากมายหลายพันเล่มในห้องสมุด   แต่สถิติสูงสุดคือการอ่านหนังสือปีละ 8 บรรทัด

น่าเสียดาย          ที่เรามี INTERNET ใช้ก่อนประเทศใดในโลกที่สาม   แต่เรากลับเสื่อมทรามเพราะเผยแพร่คลิปโป๊

น่าเสียดาย          ที่เรามีสถานีโทรทัศน์หลายสิบช่อง   แต่เรากลับจ้องจะดูแต่ละครน้ำเน่า

น่าเสียดาย          ที่เรามีพ่อแม่อยู่ในบ้าน   แต่เราปล่อยให้ท่านอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา

น่าเสียดาย          ที่เราสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้   แต่เรากลับชอบใจที่จะเป็นคนเลวตลอดกาล

น่าเสียดาย          ที่เราสามารถเป็นอิสระจากความอยากได้   แต่เรากลับหายใจอยู่กับการสนองความอยากได้

น่าเสียดาย          ที่เราบรรลุนิพพานได้ในชาตินี้   แต่เรากลับยินดีอยู่แค่การทำบุญให้ทาน

0 ความคิดเห็น:

วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คำสอน "กิ๊กหรือชู้ " โดยพระอาจารย์ว.วชิรเมธี

กิ๊ก  หรือ   ชู้



วัยรุ่นส่วนใหญ่คงอยากจะรู้ว่าระหว่าง  กิ๊ก หรือ ชู้  พฤติกรรมไหนจะบาปกว่ากัน ?


ในทัศนคติของพระอาจารย์ว.วชิรเมธีเห็นวว่า ทั้งชู้  และ  กิ๊ก  เป็นพฤติกรรมที่บาปด้วยกันทั้งคู่  เพราะไม่ว่าจะกิ๊ก  หรือไม่ว่าจะเป็นชู้  ก็คือพฤติกรรมที่ละเมิดจริยธรรมทางเพศของคู่รัก  ของคู่ควง  และของคู่ครองเช่นกัน

เปรียบเสมือนเรามีงูเห่าอยู่หนึ่งตัว  แล้วเปลี่ยนชื่อ งูเห่าเป็น งูกิ๊ก ถ้าจะเปลี่ยนชื่อเป็น งูกิ๊ก แต่คุณสมบัติของงูเห่ามีพิษยังอยู่ครบ

ความข้อนี้ฉันใด  ไม่ว่าเราจะเปลี่ยนชื่อ ชู้ เป็น กิ๊ก  แท้ที่จริงก็อันตรายและเป็นบาปด้วยกันทั้งสิ้น  ดังนั้นควรจะรักเดียวใจเดียวและหลีกเลี่ยงทั้งพฤติกรรมชู้และพฤติกรรมกิ๊ก  เพราะ.....


ที่ใดมีชู้   ที่นั่นมีช้ำ

ที่ใดมีกิ๊ก   ที่นั่นมีกรรม

0 ความคิดเห็น:

คำสอน " ART ตัวแม่ " โดยพระอาจารย์ว.วชิรเมธี

 " ART ตัวแม่ " 



          การที่คุณจะเข้าใจใครสักคนหนึ่ง  จะต้องศึกษาคนๆ นั้นอย่างลึกซึ้งเพราะว่า ส่ิงสำคัญไม่อาจจะเห็นได้ด้วยตา   คำสำคัญไม่อาจฟังด้วยหู 

          ดังนั้นวิธีการศึกษาคนอย่างลึกซึ้งเพือ่ที่จะได้รู้จักเขาทุกแง่ทุกมุมก็คือ
ประการที่ 1 อยากรู้จักปัญญา   ต้องศึกษาจากการสนทนา
ประการที่ 2 อยากรู้จักนิสัย   ต้องศึกษาจากการอยู่ร่วม
ประการที่ 3 อยากรู้จักความรู้ความสามารถ   ต้องศึกษาจากการทำงาน
ประการที่ 4 อยากรู้จักกำลังใจ  ก็ต้องรอพิสูจน์ในคราวทีี่เกิดวิกฤตการณ์
ประการที่ 5 อยากรู้จักความภักดี   ก็ต้องศึกษาในคราวที่ตนเองกำลังตกต่ำ

          ถ้าคุณศึกษาคนจากสถานการณ์ทั้ง 5 ประการจนครบถ้วน   คราวนี้ไม่ว่าจะเป็น  อาร์ตตัวพ่อ   หรือ   อาร์ตตัวแม่   ถ้าศึกษาตามหลักดังกล่าวมานี้ก็ไม่ยากเกินที่จะเข้าใจใครสักคน

0 ความคิดเห็น:

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คำสุภาษิต " ข้ามสะพานไม่ทันพ้น.....แล้วรีบขย่มก้นเพื่อมองเงา " โดยพระอาจารย์ว.วชิรเมธี

" ข้ามสะพานไม่ทันพ้น.....แล้วรีบขย่มก้นเพื่อมองเงา "



          สุภาษิตโบราณล้านนาสำนวนนี้  ท่านต้องการสอนให้รู้ว่า  ใครก็ตามที่เดินข้ามสะพานแล้วยังไม่ถึงฝั่ง   อย่าขย่มก้นเพื่อมองเงาของตนเอง  

          ความหมายที่แท้จริงก็คือ   ท่านต้องการสอนใครก็ตามที่ยังอยู่ในโมงยามแห่งการสร้างารรค์พัฒนาตนเอง   เพื่อตะกายดาวแห่งความสำเร็จ   และในระหว่างเส้นทางที่เรายังไม่ประสบความสำเร็จจนเป็นมือหนึ่ง  ของวงการ   อย่างพึ่งอหังการ   อย่าพึ่งลำพอง  อย่าพึ่งประมาท   ว่าเราดีแล้ว   ว่าเราเก่งแล้ว   คนที่ทำตัวอย่างนี้แล้วคิดว่า   ตัวเองเก่งที่สุด  ดีที่สุด   ไม่จำเป็นจะต้องพึ่งใครนั่นแหละ

          สำนวนโบราณล้านนาเขาเรียกว่า  ข้ามสะพานไม่ทันพ้น   แล้วรีบขย่มก้นเพื่อมองเงาตัวเองในน้ำ   หารู้ไม่ว่า  ทันทีที่คุณขย่ม   สะพานอาจจะหัก   ตกลงไปในน้ำก็เป็นได้

0 ความคิดเห็น:

วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คำสอน " รักด้วยสมอง " โดยพระอาจารย์ว.วชิรเมธี

" รักด้วยสมอง "


         ความรักเป็นได้ทั้งความสุขและความทุกข์ เป็นทั้งความหวังและสิ้นหวัง เป็นทั้งอนาคตและมืดมิด ถ้ารักด้วยสมองความรักจะนำสิ่งดี ๆ มาให้  ถ้ารักจนขึ้นสมอง ความรักจะนำสิ่งเลวร้ายมาให้แก่เรา
         ดังนั้น ความรักจะเป็นสิ่งที่ล้ำเลิศหรือความทุกข์ตรมขึ้นอยู่กับว่ารักด้วยสมอง หรือรักแบบขึ้นสมอง  และต้องไม่ยึดติดว่าความรักมีเพียงมิติเดียว คือความรักเชิงชู้สาวเท่านั้น แต่ความรักมีหลายมิติ เปรียบเสมือนบันไดต้องเดินขึ้นไปทีละขั้น จนถึงความหมายของความรัก นั่นคือความสุข ถ้ารักแล้วมีความทุกข์พัฒนาการของความรักยังไม่สมบูรณ์
         สำหรับความรักมี 4 แบบ คือ 1. รักตัวกลัวตาย รักชนิดนี้ถ้ามีมาก ๆ จะทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว 2. รักใคร่ปรารถนา อิงกับสัญชาติญาณการสืบพันธุ์ ความรักชนิดนี้จะทำให้เกิดความลุ่มหลง กามารมณ์ หนุ่มสาวจะยึดความรักชนิดนี้เป็นที่พึ่งของชีวิต  ยึดติดความใคร่มาใช้ในนามของความรัก จนกลายเป็นความโลภ คือ อยากจะครอบครองใครสักคนให้อยู่ในความควบคุมของเรา  พอควบคุมไม่ได้ความรักก็กลายเป็นความร้ายเป็นโศกนาฏกรรม  เช่น  ทำร้ายคนรัก เผยแพร่คลิปคนรัก สาดน้ำกรดคนรัก เป็นต้น  3.รักเมตตาอารี ให้เห็นคนทั้งโลกว่าเป็นมิตรแก่เรา และ 4.รักมีแต่ให้ คือเป็นผู้ให้ รักปัญญาชนไม่คิดจะทำร้ายใคร ไม่หวังผล และพัฒนาจนปลายทางของความรักแท้



ที่มา : http://www.dhammajak.net

0 ความคิดเห็น:

คำสอน " ทุกข์เพราะอกหัก " โดยพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

" ทุกข์เพราะอกหัก "

          เมื่อคนที่เรารักทิ้งเราไปมีคนใหม่   หรือจะเลิกกับเราด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่  ตามธรรมดาเราก็มักเสียใจ  เป็นทุกข์มาก



          คิดดี  คิดถูก  คือ  เริ่มต้นเราจะต้องรักและเมตตาแก่ตนเองก่อน   พระพุทธเจ้าสอนว่า  ความรักเสมอตนไม่มี ตนนั่นแหละที่น่ารักที่สุด   เราควรจะรักตนเอง   มีเมตตาแก่ตัวเราเอง   ธรรมชาติของจิตเราทุกคน   มีความสุขความสบายใจแต่ดั้งเดิมอยู่แล้ว  แต่ความไม่สบายใจ   ความทุกข์ที่เรากำลังมีประสบการณ์อยู่นี้ก็เป็นอุปกิเลส   ความรู้สึกนึกคิดที่เป็นอารมณ์น้อยใจ   เสียใจ   กลัว   โกรธ   อารมณ์ความรู้สึกว่าขาดความรัก   เหงาซึมเศร้าเหล่านี้เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น   เหมือนเป็นผู้ที่จรเข้ามาเยี่ยมเยือนเรา   เราต้องเข้าใจว่า   จิตเดิมแท้   คือ   ส่วนหนึ่ง  

          อารมณ์ต่างๆ ที่จรเข้ามาก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง   เราไม่ควรยึดมั่นในอารมณ์ต่างๆ  เหล่านี้ว่าเป็นเรา  เป็นของเรา

          หากใจของเราไม่ดี   เพราะกำลังโกรธ   เจ็บใจ   น้อยใจ   เสียใจ   อยู่อย่างนี้   เราจะไปเรียกร้องให้ใครมารักเราได้   เพราะขนาดตัวเองก็ยังไม่รักตัวเองเลย   ใจแบบนี้จะไปเรียกร้องให้คนอื่นมารัก   ก็เป็นการเห็นแก่ตัว


          คนที่เลิกกับเรา   ทิ้งเราไป   ก็ต้องปล่อยเขาไปเพราะไม่ใช่ของเรา   แต่ถ้ามีเหตุปัจจัย   ก็อาจจะได้พบกับคนใหม่ๆ  ที่เข้ามาในชีวิต  หรือถ้าไม่มี  ก็ไม่เป็นไร  ไม่ต้องเดือดร้อนใจ   เพราะอย่างน้อยถ้าเรามีความสบายใจ  เราก็มีความสุขใจ  พอใจในชีวิตปัจจุบันนี้ได้

0 ความคิดเห็น:

คำสอน " ทุกข์เพราะความอยาก " โดยพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

" ทุกข์เพราะความอยาก "



          คนเราก็ล้วนมีความอยากหลากหลายไม่สิ้นสุด   อยากจะมีเงินทอง   อยากจะรวย   อยากจะมียศ   มีตำแหน่ง   อยากจะมีแฟน  " ความอยากจะมี " แสดงถึง " ความไม่มี "  ความคิดอยากๆๆ จึงเหมือนดึงดูดความรู้สึกว่าขาด   ดึงความรู้สึกว่าไม่มีให้เด่นชัดขึ้นมา

          คิดดี   คิดถูก   คือ   ให้จินตนาการว่า   เรามีพอเพียงแล้ว   เรามีความสุขความพอใจในสิ่งที่เรามีในการดำเนินชีวิตก็ให้ยึดหลักอิทธิบาท 4  อยากจะมีอะไรก็ตั้งเป้าหมายไว้ตามสมควรแก่ฐานะ   เมื่อปฎิบัติตามหลักอิทธิบาท  4  แล้ว   ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรเราก็มีความสุขอยู่ได้ในปัจจุบัน   เพราะใจเป็นประธาน   ทุกอย่างสำเร็จที่ใจ   เมื่อมีจิตใจดี   มีความสบายใจแล้ว   โอกาสที่ชีวิตจะประสบความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาก็มีมากขึ้น   แม้จะรับประกันไม่ได้   เพราะตามธรรมชาติของวัฎสงสารก็ไม่แน่นอน   ไม่มีใครรอดพ้นไปจากความเสื่อมลาภ   เสื่อมยศ   นินทา   ทุกข์ได้   ไม่มีใครในโลกที่สมหวังไปหมดทุกอย่าง   แต่มองดูที่จิตใจ   ถ้าเราทำใจได้มีจิตใจหนักแน่น   เป็นปกติ   มีความสบาย  พอใจในปัจจุบัน   และไม่ตั้งความหวังไว้สูงเกินไป   โอกาสผิดหวังก็จะน้อย


มีความหวังมาก   โอกาสผิดหวังก็มีมาก

มีความหวังน้อย   โอกาสผิดหวังก็น้อย     
                                                                                              
 ไม่ตั้งความหวังอะไร  ก็ไม่ต้องผิดหวัง

0 ความคิดเห็น:

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คำสุภาษิต " กล้วยบ่สุก นกบ่มากิน "

" กล้วยบ่สุก   นกบ่มากิน "



          สุภาษิตโบราณล้านนาสำนวนนี้ต้องการจะสอนเราว่า   เมื่อไหร่ก็ตามที่เรายังไม่เก่งจริง   เมื่อไหร่ก็ตามที่เรายังไม่ดีจริง   เมื่อนั้นเราจะยังไม่สามารถเก็บเกี่ยวประโยชน์จากภูมิรู้   ภูมิธรรม   ภูมิปัญญาของตนเองได้   และบางคนในระหว่างที่ยังไม่สามารถเก็บเกี่ยวภูมิรู้   ภูมิธรรม   และภูมิปัญญาของตนเอง   เพราะตนเองยังไม่สามารถเก่งจริงนี้   ก็พากันเลิกไปเสียก่อน
          แต่ใครก็ตามสู้มานะอดทน   ฝึกหัด   พัฒนาตนเองต่อไปจนมีความเป็นเลิศในทางใดทางหนึ่ง   หลังจากนั้นเป็นช่วงเวลาแห่งการเก็ยเกี่ยวประโยชน์  
          ก็เหมือนกล้วยที่รอเวลาจนสุกงอมเต็มที่   ต่อให้ไม่ต้องไปทำประชาสัมพันธ์    เมื่อถึงเวลาสุกสุดแล้ว เดี๋ยวนกก็จะมาจิกกินนั่นเอง

0 ความคิดเห็น:

คำสอน " ดูแลหัวใจคนอื่น.......ด้วยการถ่อมตน "

ดูแลหัวใจคนอื่น......ด้วยการถ่อมตน




          "ข้าวที่เต็มรวง  จะโน้มลงพื้นดินเป็นรวงข้าวที่สมบูรณ์เป็นที่ต้องการ    แต่ถ้าข้าวรวงไหนมีเมล็ดลีบมากๆมันจะตั้งตรงไม่มีใครอยากเกี่ยวให้เปลืองแรงหรอก คนเราก็เช่นกัน"


คนเราทุกคนมีค่าเท่ากัน....
          การถ่อมตนอย่างถูกกาลเทศะจะสร้างความรู้สึกดีให้กับคนอื่น    แปลว่า   คนคนนั้นเติมเต็มเหมือนข้าวที่เต็มรวง จะยิ่งโน้มลงดินเป็นรวงข้าวที่มีค่า...

          คนที่อ่อนน้อม ถ่อมตน ไม่ทับถมใครจะดูน่ารักในสายตาคนอื่น   คุยด้วยก็รู้สึกดี    คนเรายิ่งอยู่สูง ยิ่งต้องมองต่ำ    ส่วนคนที่อยู่ต่ำกว่า ต้องมองสูงและทั้งคู่จะมองเห็นความสวยงามของกันและกันอย่างไม่ยาก

          ถ้ามัวแต่ดูถูกคนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูดี    แล้วเมื่อไหร่จะเห็นความสวยงามของโลก

0 ความคิดเห็น:

คำสุภาษิต " คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ " โดยพระอาจารย์ว.วชิรเมธี

" คนรักเท่าผืนหนัง   คนชังเท่าผืนเสื่อ " 




          สุภาษิตโบราณสำนวนนี้   ท่านต้องการชี้ให้เราเห็นสัจธรรมของชีวิตว่า   กว่าจะทำให้คนรักนั้นเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญเหลือประมาณ   แต่ในทางกลับกันการที่จะทำให้คนชัง   แค่ทำอะไรขัดหู  ขัดตา  ขัดใจนิดๆ หน่อยๆ แค่นั้น   ก็หาเหตุมาจงเกลียดจงชังกันได้แล้ว
         
           พระพุทธองค์ได้สอนเราไว้ว่า  ใครอยากเป็น " ที่รัก "  จงทำตามคาถามหาเสน่ห์  4  ประการ   ดังนี้
1. เอื้ออารี   คือ   การเป็นผู้ให้
2. วจีไพเราะ   คือ   รู้จักพูดจาปราศรัย
3. สงเคราะห์ประชาชน   คือ   อย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน
4. วางตนเสมอสมาน   คือ   รู้จักปรับตัวให้เข้ากับคนในแต่ละกาละเทศะ   หรือในแต่ละมุมสังคมอย่างกลมกลืน


0 ความคิดเห็น:

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คำสุภาษิต : มีดน้อยเคี่ยนต้นตาล โดยพระอาจารย์ว.วชิรเมธี


" มีดน้อยเคี่ยนต้นตาล " 
   
              สุภาษิตโบราณล้านนาสำนวนนี้ต้องการสอนเราให้รู้จักใช้ความเพียรพยายาม   เพื่อเอาชนะอุปสรรคที่ขวางอยู่ข้างหน้า

              อุปมาดังหนึ่งเราเอามีดอันเล็กๆ ไปพยายามตัดหรือฟันต้นตาล   แม้นมีดจะเล็กก็จริงอยู่   ต้นตาลอาจจะใหญ่โตมโหฬาร   แต่หหากเราไม่ยอมทิ้ง   ไม่ยอมปล่อยความเพียร    มีดอันเล็กๆ ที่เราพยายามตัด   พยายามโค่นไป   พยายามไปเรื่อยๆ   วันหนึ่งมีดอันเล็กๆ อันนั้นแหละอาจจะล้มต้นตาลอันใหญ่โตโอฬารลงมาก็เป็นได้
              เช่นเดียวกับชีวิตของคนเรา    ใครที่เป็นคนที่มีความขยันหมั่นเพียร   คนนั้นๆ ก็อาจจะประสบความสำเร็จได้

พระพุทธองค์ยังคงเตือนเราชาวพุทธเอาไว้เลยว่า
 " วิริเยน   ทุกขมตฺเจติ "  
คนที่ล่วงทุกข์ได้ก็เพราะความเพียร


0 ความคิดเห็น:

วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คำสอน “สุดมือสอยก็ปล่อยไป” คำสอนดีๆจากท่าน ว.วชิรเมธี

คำสอน “สุดมือสอยก็ปล่อยไป” คำสอนดีๆจากท่าน ว.วชิรเมธี

คำสอน “สุดมือสอยก็ปล่อยไป”

หมายความว่า เมื่อคุณชี้แจงไปแล้ว เขาก็ควรจะยอมรับฟัง แต่เมื่อเขาไม่ฟัง
และคุณก็ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดไปแล้ว ก็คงต้อง “ปล่อยมันไป”

ในโลกนี้ มีเรื่องอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างที่เราไม่สามารถให้เวลากับมัน หรือไม่สามารถทำในสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
แต่แล้วเราก็ต้องปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นผ่านไป เพราะหากเรามัว แต่จะ“นับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา” เวลาของคุณคงไม่พอเป็นแน่
(คำสอน นี้มีความหมายว่า “จะพยายามทำให้คนทั้งโลกรู้สึกพอใจตัวเองในทุกเรื่อง”)

ดังนั้น ทำอะไรก็ตาม ควรทำเท่าที่เราทำได้ เมื่อทำอย่างดีที่สุดแล้ว คนเขาไม่เห็นว่าดีก็ต้อง “ปล่อยมันไป”
เลือกทำในสิ่งที่เห็นว่า เราถนัดที่สุด และมีความสุขที่จะทำก็พอแล้ว
อะไรก็ตาม ที่เราไม่ถนัด หรือถึงถนัด...แต่ไม่มีความสุขที่จะทำ ก็อย่าทำ
เรามีเวลาไม่มากนักหรอกที่จะแบกสารพัดภาระในโลกนี้ ควรมองไหล่ของตัวเองดูสักหน่อยว่า
พร้อมจะแบกเป้หลังที่มีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด อย่าแบกอะไรที่เกินกำลังของตัวเองเพราะไม่เพียงแต่มันจะทำให้คุณเป็นทุกข์ แต่บางทีอาจมีผลต่อการยืนตรงๆ อย่างยาวนานของคุณด้วย

คำสอนดีๆจากท่าน ว.วชิรเมธี

ที่มา http://www.dek-d.com

0 ความคิดเห็น:

คติเตือนใจเกี่ยวกับการให้ “การให้…เพียงแค่คิดจะทำ…ใจก็ยังเป็นสุข”

คำคม คำสอนให้ข้อคิดเกี่ยวกับการให้

คำคม คำสอนให้ข้อคิดเกี่ยวกับการให้
มือของผู้ให้…อยู่สูงกว่ามือของผู้รับ…
ชื่อของผู้ให้…น่าจดจำกว่าชื่อของผู้ขอ…
เกียรติของผู้ให้…กรุ่นหอมอยู่เหนือกาลสมัย…
‘ยิ่งกว่าเกียรติศักดิ์ของนักรบและปวงวีรบุรุษ…’

การให้…
เพียงแค่คิดจะทำ…ใจก็ยังเป็นสุข…
ครั้นได้ให้แล้ว…จิตใจก็แช่มชื่นบาน…
เมื่อวันเวลาผ่านไป
หวนกลับไปรำลึกดวงหน้าอันเปี่ยมสุขของผู้รับ…
ความปิติสุขก็ย้อนกลับมาทำให้หัวใจอิ่มเอม…

การให้…
จึงเป็นความสุขแท้…ทั้งเวลาก่อนให้…
ขณะที่ให้…
และหลังจากให้ไปแล้ว…

0 ความคิดเห็น:

วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คำคม และข้อคิดดีๆ “จากนวนิยาย”

A2351452

คำคมจากนวนิยายเรื่อง บ้านขนนก ของกฤษณา อโศกสิน
    1. จำไว้อย่าง ผู้ชายชอบผู้หญิงพูดมากตอนพูดใหม่ๆ เท่านั้นแหละ พอพูดเก่าๆ แล้วเขาอยากให้พูดน้อย
    2. ชีวิตเหมือนหนังจอกว้างได้ออกไปในที่กว้างแล้วเราก็สบายใจ มีอะไรมากมายนักที่เราต้องรู้
    3. ทุกคนมีทางเดินเป็นของตัวเอง เพราะฉะนั้นถ้าเราพยายามกำหนดทางเดินให้ใครไม่ว่าใครคนนั้นจะเป็นใคร เราจะเร่าร้อนไม่รู้จักจบจักสิ้น
    4. อะไร ทุกอย่าก็ตาม ขึ้นอยู่กับเหตุผลที่ว่า เรารู้สึกสนุกที่จะต่อสู้หรือเปล่าเท่านั้น
    5. การที่คนเราอยู่ไม่ได้ เพราะขาดใครสักคนที่เป็นคนอื่นนี่เป็นอันตรายมาก
    6. คนเราสนุกมากไม่ดี หัวเราะมากก็ไม่ดี หลังความสนุกมักมีความทุกข์ตามมา หลังหัวเราะมักจะร้องไห้
    7. แทนที่จะได้ขึ้นสวรรค์กลับตกนรกเพราะความคิดของตัวเอง บางคนคิดมากจนเป็นประสาท เป็นบ้า นั่นเกิดจากคุมสติไม่ได้
    8. เป็นพื้นฐานของแต่ละคน บางคนพื้นดีใจก็แข็ง สู้โลกได้ บางคนพื้นผุ กระทบกระทั่งอะไรแรงๆ เข้าก็พังโครม แม้ว่าคนที่เกิดมาใจคอเข้มแข็งนับเป็นโชค เพราะอย่าน้อยๆ ก็เหมือนมีทุนสำรองไว้ ทำมาค้าขายนานๆ ไม่เจ๊งเสียก่อน
    9. หัวใจนับเป็นก้อนเนื้อเล็กๆ นั้น บางทีกลับบรรทุกสิ่งต่างๆ ไว้จนเพียบแปล้ แต่เพราะมันมีที่อยู่ ที่ซุกซ่อน เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ถึงความอักเสบ ก็ช้านาน
    10. เราจะไม่รู้จักเขาดีหรอก แม้ว่าจะรักกันนานสักสิบปีก็ตามแต่เราจะรู้จักเขามากอย่างน่าประหลาดใจ เพียงแต่อยู่ห้องเดียวกันแค่สิบวัน
    11. ความดีที่ทำติดต่อกันนานๆ ไม่ใช่ความดีหรอกนะคะคุณ มันกลายเป็นหน้าที่คนรับเขาถือว่าเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องให้เขา พอให้ไม่ได้หรือไม่มีจะให้เราก็จะกลายเป็นคนเลวในสายตาเขาทันที
    12. ถ้าคุณทราบถึงความมุ่งหมายของการเป็นทหาร คุณก็จะต้องเข้าใจระเบียบปฏิบัติของทหารด้วย ทหารที่ไม่มีวินัยก็ไม่มีเกียรติ ไม่มีประสิทธิภาพ
    13. คนเรากล้าหาญยังไง ก็ต้องกล้าอย่างฉลาด กล้าโง่ๆ เพื่อที่จะตายง่ายๆ ในแค่ไม่กี่นาทีน่ะไม่ยากอะไร
    14. การแสวงหาคู่ชีวิตไว้เพื่อความอบอุ่น เพื่อยึดเหนี่ยวก็เป็นความหมายยิ่งใหญ่ที่จะทำให้คนผู้นั้น มีกำลังใจที่จะอยู่สู่โลกได้เหมือนกัน
    15. แม้ว่าหล่อนจะขายตัวมาแล้วซับซ้อนอย่างไร หัวใจหล่อนก็ยังมีที่ว่าสำหรับความรัก
    16. ไม่ว่าชายใด ไม่เคยชอบที่จะเกิดความรู้สึกว่าตัวเองไปไหนไม่รอด
    17. ธรรมชาติของความรักก็คือ เมื่อเข้มข้นถึงที่สุดแล้ว มันก็จะลดระดับลง กลายเป็นความจืดจาง
    18. ความไว้วางใจเป็นรากฐานสำคัญอันแรกที่จะทำให้เราเข้าถึงเขาในส่วนอื่น และจะต้องเป็นความไว้วางใจที่มั่นคงถาวรด้วย ไม่ใช่เสแสร้งชั่วครั้งชั่วคราวเพื่อประโยชน์วันนี้เท่านั้น(หน้า 251)
    19. คนเรามีสันดานประจำตัวสันดานอันนี้ไม่มีวันจางหายไปได้ไม่ว่าจะรับการอบรมแค่ไหน
    20. ชีวิตคนอยู่ได้อย่างมีความสุขพอประมาณ เพราะรู้จักลืมความเจ็บปวด ความแตกร้าว ที่เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง หรือหลายครั้งในเวลาที่ล่วงเลยแล้วเท่านั้น และถ้าพร้อมเสมอที่จะตั้งต้น ทุกอย่างกพร้อมเสมอที่จะงดงาม
    21. บ้านเป็นรากเหง้าของทุกสิ่ง ใครก็ตามที่ครองบ้านไม่เป็น ก็อย่าหวังเลยว่าจะสามารถออกไปครองอะไรอื่นที่ใหญ่กว่าบ้าน
    22. คนเรานั้นเกดมาด้วยรายละเอียดที่ไม่เหมือนกัน และรายละเอียดนี้เองที่จะบอกได้ว่า ใครมีค่าหรือไร้ค่า
    23. รู้จักความรักให้เต็มอิ่มสักครั้ง ยังดีกว่า ไม่รู้จักเลย
    24. ใครๆ ก็มีปัญหากันทั้งนั้น แก้วันนี้ไม่ได้ ก็เก็บไว้แก้พรุ่งนี้
    25. เราอย่าหวังคนอื่นมากกว่าตัวเรา จะทำอะไรทุกอย่างต้องเอาตัวเองเป็นหลัก
    26. มนุษย์ทุกคนที่มักจะเสียดายของมีค่าซึ่งเคยเป็นกรรมสิทธิ์ของตน และกำลังจะหลุดมือไปเพราะความไม่รู้ค่าในของนั้น

คำคมจากนวนิยายเรื่อง เขาชื่อกานต์ ของ สุวรรณี สุคนธา
    1. เขาไม่ให้พูดถึงอดีต ขณะที่ประตูอนาคตกำลังจะเปิด
    2. คนชอบว่าพวกผู้หญิงชอบนินทา แต่ความจริงไม่ใช่นินทา เพียงแต่พูดถึงเท่านั้น
    3. ความตายนี่ช่างน่ากลัวตรงนี้เอง ตอนที่เกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก่อนตาย หากว่าไม่เจ็บปวด คงไม่น่ากลัวเท่านี้ คนที่ตายไปเฉยๆ โดยไม่ทุกข์ทรมานนับว่าโชคดีอย่างยิ่ง
    4. การที่คนเรามีความคิดเห็นเป็นไปในรูปเดียวกันแบบเดียวกัน ย่อเป็นไปไม่ได้ คนหนึ่งต้องการอย่างนั้นในขณะที่อีกคนไม่ต้องการเลย
    5. ข้าราชการที่ไหนๆ ก็เหมือนกันทั้งนั้น คือพยายามเบิกเงินหลวงให้ได้ทุกทางเท่าที่สามารถ

คำคมจากนวนิยายเรื่อง หลายชีวิต ของ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมทย์
    1. ความรักระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย ความรักที่จะเป็นข้อผูกมัด ความรักที่จะทำให้การกระทำอันเกิดจากกามกิเลสเป้นของบริสุทธิ์ ความรักที่จะเรียกร้องความเสียสละและความเห็นใจ ความรักทีจะเป็นน้ำหนึ่งประสานให้คนต่างเพศสองคนกลายเป็นคนคนเดียวกัน
    2. ความอิ่ม ความพอใจ และความเกรงใจคนอื่นนั้น มีอยู่เฉพาะในหมู่คนที่ยากจนเท่านั้น
    3. ความจนความมีนั้น มิได้อยู่ที่สภาพหรือปริมาณแห่งทรัพย์ แต่อยู่ที่สภาพแห่งจิต ความจนนั้นเป็นโรคที่ฝังอยู่ในสันดาน ถ้าไม่ขัดเกลาแก้ไขแล้ว ก็ไม่หาย คนมั่งมีบางคนอาจจะเป็นคนจนอยูในใจก็ได้ และเช่นเดียวกับคนจน อาจบริบูรณ์ด้วยทรัพย์ ชั่วแต่ว่าทรัพย์นั้นเป็นอริยทรัพย์ หาใช่ทรัพย์ธรรมดาไม่
    4. ชีวิตมนุษย์นั้นเป็นเพียงธรณีประตู ที่คนจะก้าวสู่ความแก่ ความตาย
    5. เงินทองทั้งหลายและทรัพย์สมบัตินั้น เป็นพียงเครื่องประดับชีวิต ในขณะที่ยังเป็นๆ อยู่เท่านั้นเอง จะใช้เงินทองนั้นซื้อก็ไม่ได้ หรือตายแล้วจะเอาเงินทองนั้นไปด้วยก็ไม่ได้อีก
    6. ความสงบที่แท้จริงนั้นเป็นของอัศจรรย์ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ บุคคลนั้นหมดตัณหา คือ ความอยากได้
    7. ถึงแม้ว่ามนุษย์เรานั้นจะกำหนดการไว้ล่วงหน้าได้หลายอย่างก็ตามบุญวาสนา หรือเวรกรรมของเรานั้น เป็นสิ่งที่จะป้องกันขัดขวางหรือเปลี่ยนแปลงกันไม่ได้
    8. ธรรมชาติวางกฎเกณฑ์ไว้ว่า ในบรรดาสัตว์ที่มารวมกันอยู่เป็นฝูง จะต้องมีตัวหนึ่งเป็นนายสูงเสมอไป แต่ตัวที่เป็นจ่าฝูงนั้นจะคงอยู่ในสถานะเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อยังไม่มีตัวอื่นมาแทนที่
    9. เวลาไม่ใช่ของสำคัญ มิตรภาพเป็นของอยู่เหนือกาลเวลา รักกันจริงแล้วคบกันวันเดียวหรือ ยี่สิบปีก็เท่ากัน
    10. เป็นศาสดาในนรก ดีกว่าเป็นสาวกในสวรรค์

คำคมจากนวนิยายเรื่อง ข้างหลังภาพ ของ ศรีบูรพา
    1. แม้จะมิได้เกิดมาเป็นชาย ก็อย่าน้อยใจที่จะเกิดมาเป็นหญิง จะเป็นอะไรก็ตามจงเป็นเสียอย่างหนึ่ง จะเป็นอะไรมิใช่ปัญหา สำคัญอยู่ที่ว่าจะเป็นอย่างดีที่สุด ไม่ว่าเราจะเป็นอะไรก็ตาม
    2. ฉันเป็นคนโชคดีที่เกิดมาสวย แต่ฉันเป็นคนโชคร้ายที่เกิดมาไร้ความรัก
    3. เธอแสดงความรักของเธอในเวลาที่ไร้สติ เธอไม่รู้หรือว่าไม่มีการกระทำอะไรที่เราจะต้องเสียใจในภายหลัง เท่าการที่ได้กระทำในเวลาที่ไร้สติ
    4. แม้นเรามิได้เกิดเป็นดอกซากุระ ก็อย่ารังเกียจที่เกิดเป็นบุปผาพรรณอื่นเลย ขอแต่ให้เป็นดอกที่งามที่สุดในพรรณของเรา ภูเขฟูจีมีอยู่ลูกเดียว แต่ภูเขาทั้งหลายก็หาไร้ค่าไม่ แม้นมิได้เป็นซามูไร ก็จงเป็นลูกสมุนของซามูไรเถิด เราจะเป็นกัปตันกันหมดทุกคนไม่ได้ ด้วยว่าถ้าปราศจากลูกเรือแล้วเราจะไปกันได้อย่างไร แม้นเรามิอาจเป็นถนน ขอจงเป็นบาทวิถี ในโลกนี้มีตำแหน่งและงานสำหรับเราทุกคน งานใหญ่บ้างเล็กบ้าง แต่เราย่อมจะมีตำแหน่ง และงานทำเป็นแน่ละ แม้นเป็นดวงอาทิตย์ไม่ได้ จงเป็นดวงดาวเถิด
    5. ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน แต่ฉันก็ยังอิ่มใจว่า ฉันมีคนที่ฉันรัก

คำคมจากนวนิยายเรื่อง ทะเลชีวิต ของ แอนน์ มอณ์โลว์ ลินเบิร์ก
    1. เราก็ดุจเม็ดทรายราบเรียบด้วยแรงน้ำใต้ร่างกายของเราโล่งและว่างเปล่าราวกับผืนหาด รอยขีดเขียนจากวันวานค่อยๆ ลบเลือนไปตามกระแสคลื่นของวันนี้
    2. แต่ไหนแต่ไรมาผู้หญิงมักจะไขว้เขวสับสนง่ายและยังคงเป็นอยู่ในทุกวันนี้ซึ่งก็คงจะเป็นตลอดไปด้วย
    3. การเป็นผู้หญิงคือการใส่ใจทุกเรื่อง และรับผิดชอบภาระ หน้าที่ ซึ่งแผ่กระจายไปทุกทิศทุกทาง จากแกนกลางของความเป็นแม่ เสมือนซี่ล้อกระจายจากดุมกงล้อ
    4. ตามธรรมชาติแล้ว คนเราไม่ชอบคิดว่าตนอยู่ลำพัง ทุกคนพยายามหลีกเลี่ยง เพราะการถูกทอดทิ้งหรือไม่เป็นที่รักใคร่มีความหมายให้นึกถึงมาสายบัวซึ่งไม่มีใครสนใจ
    5. เราได้เรียนรู้ให้ยอมรับความเป็นจริงว่า ไม่มีการกลับสู่ความสัมพันธ์แบบเดิมได้อย่างถาวร และยิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่มีใครคงรักษาความสัมพันธ์แบบหนึ่งเดียวนี้ไว้ได้
ที่มา www.baanjomyut.com

0 ความคิดเห็น:

คำกลอน คำสอน “ขึนทำจะช้ำใจ” คำสอนโดยท่าน ว.วชิรเมธี

คำกลอน คำสอน “ขึนทำจะช้ำใจ” คำสอนโดยท่าน ว.วชิรเมธี

อย่าทำงานจนป่วยตาย

อย่าหลงเสน่ห์อบายมุข

อย่ามีความสุขที่ผิดศีลธรรม

อย่าจำแต่เรื่องเลวร้าย

อย่าสบายจนเคยตัว

อย่ากลัวที่จะก้าวไปข้างหน้า

อย่าบ้าฟังคนสอพลอ

อย่ารอให้พระเจ้ามาช่วย

อย่ารวยบนความฉ้อฉล

อย่าเป็นคนเห็นแก่ได้

อย่าใช้คนไม่เหมาะกับงาน

อย่าปากหวานจนเสียระบบ

อย่าคบคนมองโลกในแง่ร้าย

อย่าขายศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์

อย่าเป็นชาวพุทธแต่พึ่งไสย

อย่าสนใจแต่เรื่องของตนเอง

อย่าเก่งอยู่คนเดียว

อย่าเที่ยวเกินขอบเขต

อย่าใช้พระเดชจนลืมพระคุณ

อย่าพึ่งใบบุญคนอื่นตลอดกาล

อย่าชำนาญในเรื่องชั่วชั่ว

อย่าเมามัว กิน กาม เกียรติ

อย่าเกลียดคนที่คิดแตกต่าง

อย่าปลูกต้นกร่างต้นไทร

อย่าลืมใครผู้เคยทำคุณ

อย่าสนับสนุนคนพาล

อย่าให้ทานกับคนไม่เห็นคุณค่า

อย่ายกเงินตราขึ้นเป็นพระเจ้า

ขึนทำจะช้ำใจ

ขอขอบคุณ คำสอนดีๆ ท่าน ว.วชิรเมธี

ที่มา http://variety.teenee.com

0 ความคิดเห็น:

20 หลักคำสอนและคติเตือนใจ โดยท่าน ว.วชิรเมธี

1. คนธรรมดาทำบุญก็อยากได้บุญ คนมีปัญญาทำบุญหวังจะเกิดในภพใหม่ที่ดีกว่าเดิม แต่ชาวพุทธแท้ทำบุญเพื่อการปล่อยวางกิเลสอย่างสิ้นเชิง

2. สิ่งที่ตาเห็นอย่าเพิ่งสรุปว่ามี สิ่งที่คนยอมรับว่าดีอย่าเพิ่งบอกว่าเห็นด้วย

3. ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี

4. นักปราชญ์ตะวันตกกล่าวว่า “อำนาจทำให้คนเสีย” ยิ่งมีอำนาจเบ็ดเสร็จ ยิ่งเสียคนแบบเบ็ดเสร็จ

5. ดาบที่ดีต้องมีฝัก ความสามารถที่ดีต้องมีจริยธรรม

20 หลักคำสอนและคติเตือนใจ โดยท่าน ว.วชิรเมธี

6. พ่อแม่ที่ดีต้องมีพรหมวิหาร 4 หน้า หน้า 1 เมตตา หน้า 2 คือ กรุณา หน้า 3 คือ มุทิตา หน้า 4 คือ อุเบกขา คือในยามปกติเลี้ยงลูกด้วยเมตตา ยามมีปัญหาคอยช่วยเหลือด้วยกรุณา ยามลูกทำดีคอยส่งเสริมด้วยมุทิตา ยามลูกทำผิดปล่อยให้รับกรรมด้วยตัวเอง คือ อุเบกขา

7. การแก้กรรมคือการแก้ที่ความหลงผิด การแก้กรรมคือการเลิกทำความชั่ว ดังนั้นการแก้กรรมจึงไม่ใช่สำเร็จที่การสะเดาะเคราะห์หรือทำพิธีจากเกจิ

8. คนที่รู้เรื่องกรรมดีที่สุดคือตัวเราเอง คนที่แก้กรรมได้ดี่ที่สุดคือตัวของเรา การแก้กรรมต้องทำด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่ใช่ด้วยพิธีกรรมแปลกๆ

9. คนขุดบ่อน้ำก็ลงต่ำอยู่ในดิน คนก่อกำแพงก็ขึ้นสูงตามกำแพงที่ก่อ ฉันนี้ฉันใดคนทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น จะสูงจะต่ำขึ้นอยู่กับการกระทำของตน

10. คนฉลาดชอบแกล้งโง่ คนโง่ชอบเสแสร้งว่าฉลาด ส่วนนักปราชญ์เรียนรู้ที่จะฉลาดและเรียนรู้ที่จะโง่
20 หลักคำสอนและคติเตือนใจ โดยท่าน ว.วชิรเมธี
11. กฎแห่งกรรมไม่ต้องมีวีซ่า กฎแห่งกรรมไม่ยกเว้นหน้าอินทร์หน้าพรหม กฎแห่งกรรมไม่มีวันหยุด กฎแห่งกรรมเที่ยงธรรมตลอดกาล

12. บิล เกตต์ เรียนไม่จบแต่พบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เพราะเป็นคนใฝ่เรียนรู้ด้วยตนเอง ปัญญาไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัยแต่อยู่ในจิตใจที่ใฝ่รู้

13. อย่ายึดติดกับความหลัง อย่าฟังเสียงปาปมิตร (มิตรชั่ว) อย่ามัวคิดริษยา อย่าเสียเวลากับคนเลวทราม

14.คนส่วนใหญ่เรียกร้องสิทธิมนุษยชน แต่คนมีปัญญาเรียกร้องสิทธิที่จะไม่ทุกข์

15. ความไม่รู้เป็นยอดแห่งมลทิน ปัญญาเป็นยอดแห่งสิริมงคลความถ่อมตนเป็นยอดแห่งเสน่ห์

16. รถทุกคันล้วนมีเบรก รถทุกคันล้วนมีท่อไอเสีย คนทุกคนต้องมีเบรกคือสติ ต้องมีท่อไอเสียคือการปล่อยวาง

17. ความทุกข์ไม่เคยยึดติดเรา มีแต่เราต่างหากที่ยึดติดความทุกข์ ความสุขไม่เคยไปจากใจเรา มีแต่เราต่างหากที่ไม่เคยถนอมมันไว้ในใจของเรา

18. ยศ ทรัพย์ อำนาจเป็นเพียงมรรควิธีที่ทำให้ชีวิตนี้มีประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ โปรดอย่าเข้าใจผิดว่าเป็นเป้าหมายในการเกิดเป็นมนุษย์

19. ทำผิดแล้วรู้สึกผิดต่อไปจะเป็นคนดี ทำผิดแล้วรู้สึกว่าเป็นความดีกาลกิณีจะเกิดขึ้นในไม่ช้า

20. ความรักไม่เคยทำให้ใครทุกข์ การไม่รู้จักธรรมชาติของความรักต่างหากที่ทำให้เกิดทุกข์ ธรรมชาติของความรักคือเกิดขึ้นในเบื้องต้น ดำรงอยู่ในท่ามกลาง และแตกดับไปในที่สุด

ขอขอบคุณ คำสอนและคติเตือนใจดีๆ จากท่าน ว.วชิรเมธี




ที่มา ธรรมจักรดอทเน็ต

0 ความคิดเห็น:

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คำสอน “ของพ่อ” ใช้สอนลูกสาว

คำสอนพ่อ....”สอนลูกสาว”
ในตอนดึกของคืนวันหนึ่ง... พ่อเรียกลูกสาวเข้าไปพบแล้วบอกลูกว่า
พ่อมีอะไรจะให้ลูกดูซึ่งสำคัญมาก
ว่าแล้วพ่อก็หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากลิ้นชักแล้วเอามือกำไว้ แล้วถามว่า  “อยากรู้มั้ยว่ามีอะไรในมือพ่อ”
ลูกพยักหน้า
“ถ้าอยากรู้ ต้องเอามือของลูกเขกพื้น 3 ทีก่อน”
ลูกสาวทำตาม...
พ่อว่า “ไม่พอ ต้อง 5 ที” แล้วเปลี่ยนเป็น “10 ที” แล้วอ้างว่า
“ยังเขกพื้นไม่แรงพอ เขกใหม่อีก 10 ที”
จนลูกอุทธรณ์ แต่พ่อก็ยังไม่ยอมแบมือให้ลูกสาวดู
“ลูกต้องเขกแรงๆ 10 ทีก่อน จึงจะให้ดู”
ความต้องการอยากดู ทำให้ลูกสาวทนเจ็บ ยอมเขกพื้น 10 ทีโดยดี
เมื่อพ่อแบมือออกมา ในกำมือพ่อ มันก็คือ เหรียญ 10 บาทธรรมดานี่เอง
พ่อมองหน้าลูกสาวด้วยความรัก พร้อมกับอมยิ้ม แล้วกำเหรียญ 10
บาทในมือตามเดิม
และถามลูกว่า ”อยากดูอีกมั้ย ถ้าอยากดูต้องเขกพื้น 10 ที”
ลูกสาวหน้าเบ้ ร้องว่า “หนูรู้แล้ว ไม่อยากดูแล้วละค่ะ”
พ่อพูดว่า “เอ้า... เขกพื้น 3 ทีก็ได้”   “ …เอ้า งั้นทีเดียว ก็ได้”
ลูกสาวหัวเราะ พร้อมบอกว่า   “ก็ทราบแล้วนี่คะ ไม่อยากดูอีกแล้วค่ะ เบื่อ”
พ่อต่อรองอีกว่า     “ให้ดูฟรีๆ ก็ได้นะ” แล้วก็แบมือออก
แต่ลูกสาวก็ดูเหรียญในมือพ่ออย่างไม่สนใจ
พ่อยิ้มอารมณ์ดี แล้วสอนลูกว่า

นี่นะลูก อะไรๆที่เป็นความลับ คนมักจะยอมทำทุกอย่างเพื่อจะให้ได้ดู
ให้สมปรารถนา อยากรู้ อยากเห็น อยากทดลองทำ แต่เมื่อสมปรารถนาแล้ว ได้ดูแล้ว
ก็มักจะเบื่อ ให้ดูฟรีๆ ยังไม่อยากจะดูเลย…..

 
สิ่งที่พึงหวงแหนของลูกผู้หญิงก็เหมือนกันนะ นั่นล่ะ เป็นสิ่งที่มีค่ามาก
ถ้าให้ใครรู้ก่อนเวลาอันควร ก็จะไม่มีค่าอะไร ไม่ต่างอะไรกับเหรียญ 10
บาทที่พ่อให้ลูกดูฟรีหรอกนะลูก

คำสอน ผู้หญิง

ที่มา http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2336133

0 ความคิดเห็น:

คำสอน เกี่ยวกับนักการฑูต และ ผู้หญิง

คำสอน นักการฑูต

คำคม คำสอนเกี่ยวกับนักการฑูต

เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ใช่ หรือ อาจจะ" เขามีความหมายว่า "อาจจะ"
เมื่อนักการฑูตพูดว่า "อาจจะ" เขามีความหมายว่า "ไม่"
เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ไม่" เขาไม่ใช่นักการฑูต ( เพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร )

คำสอน ผู้หญิง

คำคม คำสอนเกี่ยวกับผู้หญิง

เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ"
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "อาจจะ" หล่อนมีความหมายว่า "ใช่ หรือ ได้"
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ใช่ หรือ ได้" หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี  ( สุภาพสตรีจะไม่ตอบรับใครง่าย ๆ )

0 ความคิดเห็น:

คำสอน ของ “ขงจื้อ” ปรัชญาเมธีชาวตะวันออก

คำสอน ขงจื้อ

คำสอน “ขงจื้อ” ประโยคที่ ๑

ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่
ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น
เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย
เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส
เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย
ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"

คำสอน “ขงจื้อ” ประโยคที่ ๒
นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ

คำสอน “ขงจื้อ” ประโยคที่ ๓
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด
ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด
ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น

คำสอน “ขงจื้อ” ประโยคที่ ๔
ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย

คำสอน “ขงจื้อ” ประโยคที่ ๕
เมื่อใครสักคนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา
เพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา
ท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้

คำสอน “ขงจื้อ” ประโยคที่ ๖
การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น
ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่

คำสอน “ขงจื้อ” ประโยคที่ ๗
ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน
คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต

0 ความคิดเห็น:

Blogger Template by Clairvo